นายสุวัฐน์ วงศ์สุวัฒน์ รองอธิบดีกรมประมง ในฐานะโฆษกกรมประมง เปิดเผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ จากการดำเนินการควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2567 พบการแพร่ระบาดในแหล่งน้ำธรรมชาติจำนวน 19 จังหวัด แต่ปัจจุบันการแพร่ระบาดลดลงเหลือเพียง 17 จังหวัด กรมประมงสามารถกำจัดปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำธรรมชาติ และบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกรแล้วเป็นจำนวน 7,293,534.50 กิโลกรัม ผ่านโครงการต่างๆ เป็นไปตามแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พ.ศ. 2567 – 2570 ภายใต้ 7 มาตรการหลัก ดังนี้ มาตรการที่ 1 การควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำทุกแห่งที่พบการแพร่ระบาด มาตรการที่ 2 การกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยการปล่อยปลาผู้ล่าอย่างต่อเนื่อง มาตรการที่ 3 การนำปลาหมอ
คางดำที่กำจัดออกจากระบบนิเวศ ไปใช้ประโยชน์ มาตรการที่ 4 การสำรวจและเฝ้าระวังการแพร่กระจายของประชากรปลาหมอคางดำในพื้นที่กันชน มาตรการที่ 5 สร้างความรู้ ความตระหนัก และการมีส่วนร่วมในการกำจัดปลาหมอคางดำ มาตรการที่ 6 การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม มาตรการที่ 7 การฟื้นฟูระบบนิเวศ ซึ่งแบ่งเป็นระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว
จากการติดตามประเมินการแพร่ระบาด และติดตามตรวจสอบการเฝ้าระวังในแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยแบ่งระดับการรุกรานตามปริมาณความชุกชุมของปลาหมอคางดำออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับการรุกรานน้อย (ไม่เกิน 10 ตัวต่อ 100 ตารางเมตร) ระดับการรุกรานปานกลาง (มากกว่า 10-100 ตัวต่อ 100 ตารางเมตร) และระดับการรุกรานมาก (มากกว่า 100 ตัวต่อ 100 ตารางเมตร) ซึ่งจากการสำรวจในเดือนสิงหาคม 2568 พบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ในพื้นที่ 17 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา นนทบุรี กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และสงขลา ซึ่งไม่พบจังหวัดที่มีความชุกชุมของปลาหมอคางดำในระดับชุกชุมมาก มีเพียงจังหวัดที่มีความชุกชุมในระดับปานกลาง 8 จังหวัด (จันทบุรี ระยอง สมุทรปราการ สมุทรสาคร เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และนครศรีธรรมราช) และจังหวัดที่พบความ
ชุกชุมในระดับน้อย 9 จังหวัด (ชลบุรี ฉะเชิงเทรา นนทบุรี กรุงเทพมหานคร สมุทรสงคราม นครปฐม ราชบุรี สุราษฎร์ธานี และสงขลา) และจากการประเมินจะเห็นได้ว่าภาพรวมของจังหวัดมีแนวโน้มลดลงในทุกจังหวัด ยกเว้นบางแหล่งน้ำในบางจังหวัดที่ยังพบความชุกชุมมาก เนื่องจากเป็นพื้นที่แหล่งน้ำที่ควบคุมกำจัดยาก อาทิ บริเวณป่าชายเลน พื้นที่ที่มีวัชพืชปกคลุมหนาแน่น พื้นที่ส่วนบุคคล หรือเป็นแหล่งที่มีสารอินทรีย์สูงเหมาะสมต่อการอาศัยและเพิ่มจำนวนของปลาหมอคางดำ เช่น คลองรับน้ำทิ้งจากบ้านเรือน ชุมชน ฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ แปลงเลี้ยงหอย ท่าเทียบเรือประมง เป็นต้น
กรมประมงยังคงดำเนินการกำจัดปลาหมอคางดำออกจากพื้นที่การแพร่ระบาด
จนสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงในหลายพื้นที่ และได้เริ่มดำเนินการมาตรการที่ 2. การกำจัดปลาหมอคางดำ
ในแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยการปล่อยปลาผู้ล่าอย่างต่อเนื่อง โดยมีการสำรวจและศึกษาพันธุ์ปลาผู้ล่าที่เหมาะสม ในแต่ละพื้นที่ เพื่อปล่อยให้สอดคล้องกับระบบนิเวศเดิม ทั้งยังเป็นแหล่งอาหารและสร้างรายได้ให้กับชุมชนโดยล่าสุดตั้งแต่เดือนมิถุนายน - เดือนกันยายน 2568 ได้ปล่อยพันธุ์ปลาจำนวนทั้งสิ้น 655,000 ตัว ผ่านกิจกรรมการผลิตและปล่อยปลาผู้ล่าเพื่อกำจัดลูกปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยกองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด รวมปล่อยปลาผู้ล่าแล้ว 1,488,000 ตัว
ในปี 2569 - 2570 นั้น กรมประมงจะยังคงดำเนินการในทุกมาตรการอย่างเข้มข้นให้สอดคล้องกับแผนทั้ง 3 ระยะ นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินการมาตรการที่ 6 การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม โดยล่าสุดมีความคืบหน้าในการวิจัยการเหนี่ยวนำชุดโครโมโซม 4n ทำให้ปลาเป็นหมัน ซึ่งขณะนี้กรมประมงกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาผลการทดลองเลี้ยงปลา 4n ในพื้นที่จำลองธรรมชาติ และหากได้ผลเป็นที่น่าพอใจ จะกระจายการเพาะเลี้ยงไปยังศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุ์กรรมสัตว์น้ำของกรมประมงทั่วประเทศ เพื่อเร่งผลิตปลาหมอคางดำ 4 n และปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติต่อไป
ที่สำคัญ หากพื้นที่ใดที่เคยพบการแพร่ระบาด และกรมประมงสามารถดำเนินการควบคุมและกัดจัดปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำได้อย่างเหมาะสมแล้ว ก็จะเริ่มมาตรการที่ 7 การฟื้นฟูระบบนิเวศ ซึ่งเป็นมาตรการที่กรมประมงให้ความสำคัญมาก โดยการปล่อยชนิดพันธุ์ปลาพื้นเมืองของไทยที่พบในระบบนิเวศเดิม จัดทำเขตอนุรักษ์เพื่อฟื้นฟูความหลากหลาย และสร้างเครือข่ายชุมชนในการอนุรักษ์และรักษาระบบนิเวศ รวมถึงเฝ้าระวังแจ้งเหตุ เพื่อคืนปลาพื้นเมืองไทยเหล่านี้กลับสู่ระบบนิเวศ สร้างสมดุลคืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับแหล่งน้ำธรรมชาติดั้งเดิมอย่างยั่งยืน
“กรมประมงได้ดำเนินการกำจัดปลาหมอคางดำมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้สถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มดีขึ้นตามลำดับในหลายพื้นที่ ความทุ่มเทของทุกภาคส่วนในการควบคุมสถานการณ์ปลาหมอคางดำที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของมาตรการที่ดำเนินการ และกรมประมงยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและปรับปรุงแนวทางการจัดการให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาในแต่ละพื้นที่ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในอนาคต” โฆษกกรมประมงกล่าว...