เดินทางตรวจเยี่ยมการดำเนินการของศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดยะลา

 บุคคลในภาพ  นายบัญชา  สุขแก้ว (อธิบดีกรมประมง) 
 ฟังเสียงบรรยาย
 หยุดเสียงบรรยาย

วันพุธที่ 5 เมษายน 2566 เวลา 14.00 น. นายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง พร้อมด้วยนางจุไลวรรณ รุ่งกำเนิดวงศ์ ประมงจังหวัดยะลา นายพิสิฐ ภูมิคง หัวหน้ากลุ่มวิชาการ กองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด เดินทางตรวจเยี่ยมการดำเนินการของศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดยะลา โดยมีนายการุณ อุไรประสิทธิ์ ผู้อำนวยการศูนย์ฯ และเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยให้การต้อนรับและรายงานผลการดำเนินงานรวมถึงปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน

ปัจจุบัน ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดยะลา มีกิจกรรมที่สำคัญ คือ การเพาะและผลิตปลาประจำถิ่น ได้แก่ปลาพลวงชมพู ซึ่งเป็นปลาที่พบได้เฉพาะในพื้นที่ป่าฮาลาบาลา ซึ่งเป็นน้ำของแม่น้ำสายบุรีและเเม่น้ำปัตตานี มีชื่อเดิมว่า ปลากือเลาะห์ มีลักษณะครีบแดงและเกล็ดสีชมพู กรมประมงประสบผลสำเร็จในการเพาะเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ 2543 ด้วยวิธีการผสมเทียม และดำเนินการศึกษาและพัฒนามาเรื่อยๆ จนได้ผลผลิตเพิ่มสูงขึ้น ในปี 2558 โดยการดำเนินการเพาะพันธุ์ปลาพลวงชมพู ทางศูนย์ฯได้รวบรวมพ่อเเม่พันธุ์เเละเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ ให้อาหารวันละครั้ง เพื่อควบคุมน้ำหนักให้เอื้อต่อการพัฒนาของไข่ปลา โดยอาหารที่ใช้เลี้ยงพ่อเเม่พันธุ์จะมีการเสริมไข่ไก่ วิตามินเเละน้ำมันปลา เเละดำเนินการผสมเทียมโดยใช้ฮอร์โมน เเละนำไข่ไปฟักในรางฟักไข่ในห้องที่ควบคุมอุณหภูมิ เปิดน้ำให้อยู่ในสภาพเสมือนน้ำไหลตลอด 100 ชั่วโมงหรือราว 4 วันจนลูกปลาฟัก จากนั้นนำลูกปลาที่ฟักเเล้วไปอนุบาลในตู้กระจก เเละย้ายไปอนุบาลในถีงไฟเบอร์ เเละเริ่มฝึกให้กินอาหารสำเร็จรูป จนลูกปลามีอายุประมาณ 4 เดือน หรือมีความยาวประมาณ 3 นิ้ว ถึงจะนำไปปล่อยสู่เเหล่งน้ำธรรมชาติต่อไป นอกจากนี้ ศูนย์ยังมีโครงการส่งเสริมการเลี้ยงปลาพลวงชมพูเชิงพาณิชย์จังหวัดยะลา และนราธิวาส ตั้งแต่ ปี พ.ศ 2564-2566 รวมทั้งสิ้น 155 ราย เเละขณะนี้ปลาพลวงชมพูอยู่ระหว่างการขอขึ้นทะเบียนเป็นสินค้า GI (Geographical Indication) ภายใต้ชื่อ "ปลาพลวงชมพูต้นน้ำป่าฮาลาบาลา" ของพื้นยะลาเเละนราธิวาสอีกด้วย การเลี้ยงปลาพลวงชมพู นอกจากจะเป็นการสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงแล้ว ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์และส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดยะลาและนราธิวาสอีกด้วย ปัจจุบันปลาพลวงชมพูที่เลี้ยงเเบบ premium มีราคาขายอยู่ในท้องตลาด 2,000 - 2,500 บาท ต่อกิโลกรัม

พร้อมนี้ได้มอบนโยบายในการปฏิบัติงานในพื้นที่ให้แก่เจ้าหน้าที่ประจำหน่วย โดยเน้นการอยู่ร่วมกันกับชุมชน การช่วยเหลือเเละบริการทางวิชาการชุมชนเเละประชาชนในพื้นที่ การให้คำเเนะนำด้านการเพาะเลี้ยงให้เเก่ผู้สนใจ เพื่อสร้างงานเเละสร้างรายได้ให้เเก่ประชาชนในพื้นที่ต่อไป

#กรมประมง

#กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์

 แชร์เนื้อหา : ส่ง email แชร์ X ส่ง Line แชร์ Facebook