กระทรวงเกษตรและสหกรณ์...แถลงเปิดตัวโครงการ
“สร้างรายได้จากอาชีพประมงในแหล่งน้ำชุมชน”
เดินเครื่องเร่งเยียวยาพี่น้องเกษตรกรจากวิกฤติฝนทิ้งช่วงและอุทกภัยปี 62
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2563 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ
“สร้างรายได้จากอาชีพประมงในแหล่งน้ำชุมชน” ลุยเดินเครื่องส่งมาตรการฟื้นฟูเยียวยาเร่งช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรจากวิกฤติฝนทิ้งช่วงและอุทกภัย ปี 62 เตรียมจัด Kick Off ปล่อยกุ้งก้ามกรามล็อตแรก 1 ล้านตัว ใน 5 แหล่งน้ำ เพื่อสร้างการรับรู้สู่เกษตรกรในวันที่ 20 มีนาคมนี้
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงว่า จากเหตุการณ์ในปี 2562 ประเทศไทยได้ประสบปัญหาฝนทิ้งช่วงตั้งแต่เดือนมิถุนายน – สิงหาคม 2562 ส่งผลให้พื้นที่การเกษตรเสียหายอย่างสิ้นเชิง และต่อมาในเดือนกันยายน-ตุลาคม 2562 ได้เกิดอุทกภัยอย่างหนักจากพิษของพายุโพดุล และ คาจิกิ ซึ่งทั้ง 2 เหตุการณ์ได้สร้างความเสียหายแก่เกษตรกรและประชาชนในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2562 เห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฟื้นฟู เยียวยา เกษตรกรผู้ประสบภัยฝนทิ้งช่วง
และอุทกภัยปี 2562 ทั้งในด้านเกษตร ปศุสัตว์ และประมง วงเงินรวม 3,120.8618 ล้านบาท เป้าหมายเกษตรกร 1,075,000 ล้านครัวเรือน โดยในด้านการประมงนั้น ได้มีการวางแนวทางการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนที่ประสบภัยผ่าน 2 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการพัฒนาเสริมทางเลือกอาชีพด้านประมง ด้วยการสนับสนุนการเลี้ยงปลานิลแปลงเพศในบ่อดิน เป้าหมายเกษตรกร 44,311 ราย วงเงิน 250 ล้านบาท และ
2. โครงการสร้างรายได้จากอาชีพประมงในแหล่งน้ำชุมชน โดยการปล่อยพันธุ์กุ้งก้ามกรามลงแหล่งน้ำชุมชนที่
ประสบภัย ซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณจากกลาง วงเงิน 430,800,000 ล้านบาท
สำหรับโครงการแรกที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เร่งเดินเครื่องเพื่อช่วยเหลือเยียวยาพี่น้องเกษตรกรและประชาชนคือ โครงการสร้างรายได้จากอาชีพประมงในแหล่งน้ำชุมชนที่ประสบภัย 1,436 แห่ง
129 อำเภอในพื้นที่ 19 จังหวัด ประกอบด้วย กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ตราด นครพนม บุรีรัมย์ พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ สกลนคร สระแก้ว สุโขทัย อำนาจเจริญ อุดรธานี และอุบลราชธานี โดยการปล่อยพันธุ์กุ้งก้ามกรามลงในแหล่งน้ำชุมชน ขนาดตั้งแต่ 5 - 7 เซนติเมตรขึ้นไป ซึ่งเป็นขนาดที่สามารถลดระยะเวลาในการเจริญเติบโตและเพิ่มอัตราการรอดได้ดี จำนวน 200,000 ตัวต่อแหล่งน้ำ
เพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ชุมชน ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาศักยภาพของชุมชนในด้านผลผลิตสัตว์น้ำเศรษฐกิจมูลค่าสูง และเพิ่มโอกาสให้กับประชาชนในการเข้าถึงทรัพยากรของชุมชนได้เป็นอย่างดี
ซึ่งล่าสุด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง ได้เตรียมจัดกิจกรรม Kick Off เปิดตัวโครงการฯ เพื่อประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และสร้างความเข้าใจให้เกษตรกรและประชาชนทั่วไปได้รับทราบ
ด้วยการจัดกิจกรรมการปล่อยพันธุ์กุ้งก้ามกรามล็อตแรก จำนวน 1 ล้านตัว ในวันที่ 20 มีนาคม 2563 พร้อมกัน
ในพื้นที่ 5 จังหวัดดังนี้ 1. หนองผือ ตำบลกระจาย อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร 2. หนองกุง ตำบลเขาพระนอน
อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ 3. หนองหัวลิง บ้านหนองกกเปลือย ตำบลหนองแวง อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร 4. บึงอ้ายจ๋อ ตำบลดงกลาง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร และ 5. อ่างเก็บน้ำห้วยวังแดง ตำบล
โพธิ์ไทร อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของการส่งสัญญาณการปล่อยพันธุ์
กุ้งก้ามกรามพร้อมกันผ่านระบบออนไลน์ โดยในจุดนี้ ยังมีการแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับนวัตกรรมการใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เข้ามาประเมินผล ตลอดจนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประมงของชุมชนเกษตรกรในพื้นที่
นอกจากนี้ เพื่อให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการแหล่งน้ำ และเพื่อให้ผลผลิตกุ้งก้ามกราม
ได้มีการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ยังได้สั่งการให้กรมประมงเร่งสื่อสารสร้างกระบวนการรับรู้ และสร้างความเข้าใจ
โดยมีการส่งเสริมองค์ความรู้แก่ชุมชนจัดเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาทางด้านวิชาการ เช่น ข้อควรปฏิบัติ
ในการดูแลรักษาทรัพยากร การเฝ้าระวังทรัพยากรให้ใช้ประโยชน์ได้เมื่อถึงขนาดที่เหมาะสมมีการจัดตั้งกรรมการ
เพื่อขับเคลื่อนกิจกรรมบริหารจัดการแหล่งน้ำชุมชน ทั้ง 1,436 แห่ง จัดตั้งกลไกความร่วมมือ จัดทำแผนปฏิบัติงาน
และสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพการทำงานในโครงการเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามแผนปฏิบัติงานอย่าง
มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ในอนาคตยังได้เตรียมการที่จะพัฒนาและทดลองใช้กุ้งก้ามกรามที่ปล่อยไปในครั้งนี้
เป็นพ่อแม่พันธุ์สำหรับเพาะด้วยชุดถังเพาะพันธุ์เคลื่อนที่ (Mobile Hatchery) เพื่อใช้ปล่อยในแหล่งน้ำธรรมชาติ
ในพื้นที่ใกล้เคียงต่อไป
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งหวังว่า โครงการดังกล่าวจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดและสามารถสร้างความร่วมมือในการดูแล รักษา พร้อมตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรสัตว์น้ำอันจะก่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน เพื่อให้เกษตรกรและประชาชนมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น