กรมประมงแก้ปัญหาปลานิลล้นตลาดจังหวัดพะเยา เจาะช่องทางขายปลานิลให้กลุ่มเกษตรรวม 1 แสนกว่ากิโล สร้างรายได้สะพัดกว่า 5 ล้านบาทให้กลุ่มเกษตรกร พร้อมเตรียมหาแนวทางเพิ่มช่องทางการจำหน่ายในระยะยาวด้วยการขยายตลาดให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น “เกษตรแปลงใหญ่” เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เร่งดำเนินการขับเคลื่อน โดยมีการประยุกต์ใช้กับหลายโครงการทั้งด้านเกษตร ปศุสัตว์ และประมง โดยมุ่งเน้นผลลัพธ์ใน 4 ด้าน คือ 1. ลดต้นทุนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้เกิดมูลค่าเพิ่มและเกิดระบบตลาด 2.เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้เกษตรกรไทย สำหรับลักษณะการดำเนินงานที่สำคัญคือ การรวมกลุ่มของเกษตรกรเจ้าของพื้นที่แปลงเล็กให้เกิดการรวมกลุ่มกลายเป็นการบริหารร่วมกันในพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ทำการเกษตรชนิดเดียวกัน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มอำนาจต่อรองให้กับเกษตรกรรวมถึงการจัดหาปัจจัยการผลิตและการจำหน่ายผลผลิต โดยมีภาครัฐเป็น “ผู้จัดการ” ในการร่วมกำหนดแผนการดำเนินงานและเป้าหมาย 3.ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มคุณภาพด้วยการกำหนดมาตรฐานการผลิต เช่น GAP 4.การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จะเน้นให้เกษตรกรมีการตัดสินใจร่วมกันในการผลิต การใช้เทคโนโลยี ซึ่งจะเป็นการประหยัดและลดต้นทุน ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตได้จนสามารถยืนหยัดอยู่ร่วมกันอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนายมีศีกดิ์ ภักดีคง รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า กรมประมงได้ดำเนินโครงการระบบส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ด้านประมง โดยจะเน้นการดำเนินการงานในลักษณะการรวมกลุ่มของเกษตรกรรายย่อยหลายๆ
รายให้มาร่วมกันพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต โดยมุ่งเน้นการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน ลดต้นทุน และร่วมบริหารจัดการด้านการตลาด สำหรับโครงการเกษตรแปลงใหญ่ด้านประมงกรมประมงได้นำร่องสัตว์น้ำ
5 ชนิด ได้แก่ ปลานิล กุ้งก้ามกราม กุ้งทะเล ปลายี่สกเทศ ปลาตะเพียนขาว โดยในปี 2560 ได้กำหนดพื้นที่เป้าหมายของเกษตรแปลงใหญ่ เพิ่มเติมซึ่งจะเน้นดำเนินการในพื้นที่ต่างๆ เช่น พื้นที่ในเขตชลประทาน พื้นที่ปฏิรูปที่ดิน พื้นที่ในเขตสหกรณ์นิคม และพื้นที่เกษตรทั่วไปโดยมีเจ้าหน้าที่กรมประมงร่วมเป็น “ผู้จัดการแปลง” มีหน้าที่ประสาน สนับสนุน อำนวยความสะดวกในการพัฒนาสมาชิกในแปลงใหญ่มาร่วมกำหนดเป้าหมายการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทุกขั้นตอนจนถึงการเชื่อมโยงตลาดกับภาคเอกชนแบบประชารัฐเพื่อให้เกษตรกรมีความมั่นคงในอาชีพการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
การรวมกลุ่มแปลงใหญ่นอกจากจะเป็นผลดีกับตัวเกษตรกรเองแล้ว กรณีเกษตรกรประสบปัญหาต่างๆ เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ยังได้เข้าไปร่วมแก้ไขปัญหาให้เกษตรได้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นด้วยการบูรณาการทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ยกตัวอย่างเช่น การแก้ปัญหาปลานิลล้นตลาดของกลุ่มสหกรณ์เลี้ยงปลาบ้านต๋ำ เมืองพะเยา จำกัด สืบเนื่องจากปัญหาภัยแล้งในปี 2557 – 2558 ทำให้ผลผลิตปลานิลออกสู่ตลาดน้อย ต่อมาเมื่อเข้าฤดูฝนปี 59 เกษตรกรหันมาปล่อยปลานิลกันอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันเฉลี่ยประมาณ 6,700 – 8,000 กก./วัน ซึ่งเกินปริมาณที่ตลาดจะรองรับได้ จึงส่งผลให้เกิดภาวะผลผลิตปลาล้นตลาดและราคาจำหน่ายปลานิลลดลงพร้อมกัน ราคาจะลดลงจากกิโลกรัมละ 60 – 70 บาท เหลือประมาณกิโลกรัมละ 40-50 บาท จากปัญหานี้ทางกรมประมงได้มีการจัดประชุมหน่วงงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยระยะสั้นได้มีแผนจัดเทศกาลต่างๆ อาทิ งานกินปลานิลพะเยา งานกินปลาเผาเล่นสงกรานต์
กว้านพะเยา รวมถึงการขอพื้นที่ให้เกษตรกรได้จำหน่ายผลผลิตโดยตรงให้แก่ผู้บริโภค ตามสถานที่ต่างๆ
เช่น มนฑลทหารบกที่32 ค่ายสุรศักดิ์มนตรี องค์การบริหารส่วนจังหวัด สภาอุตสาหกรรมและห้างสรรพสินค้า
เป็นต้น อีกทั้งยังมีการนำผลผลิตไปจำหน่ายจังหวัดใกล้เคียง เช่น จ.แพร่ และน่าน ทำให้ปัญหาปลานิลล้นตลาดใน จ.พะเยาได้คลี่คลายลง สามารถช่วยกลุ่มเกษตรกรขายปลานิลได้ 120,992 กก. เป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 5,297,343 บาท สำหรับแผนในระยะยาวทางกรมได้เตรียมรับกับปัญหาสินค้าสัตว์น้ำล้นตลาดไว้
หลายช่องทางด้วยกัน อาทิ การมองหาช่องทางตลาดที่หลากหลายมากขึ้นสามารถส่งสินค้าได้ในระยะยาว การวางแผนจัดการด้านการตลาดร่วมกัน เพื่อป้องกันผลผลิตล้นตลาด
นายมีศักดิ์ ภักดีคง รองอธิบดีกรมประมง กล่าวในตอนท้ายว่า ขอเชิญชวนเกษตรกรผู้เลี้ยงปลานิลและสัตว์น้ำชนิดอื่นๆ ทั่วประเทศ ให้หันมารวมตัวกันเป็นกลุ่มเกษตรกรด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อร่วมกันพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตปลานิลและวางแผนจัดการด้านการตลาดร่วมกันระหว่างกลุ่มเกษตรกรเพื่อป้องกันผลผลิตล้นตลาด โดยดำเนินการในรูปแบบโครงการแปลงใหญ่ฯ ของกรมประมง ซึ่งเชื่อได้ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาปลานิลล้นตลาดในระยะยาว ต่อไป