กรมประมงน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” จากพระราชกรณียกิจด้านการประมง สู่ความมั่นคงทางอาหาร และความอยู่ดีมีสุขของพสกนิกรชาวไทย

 ฟังเสียงบรรยาย
 หยุดเสียงบรรยาย

ตลอดระยะเวลากว่า 70 ปี ที่ผ่านมา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
องค์พระราชินีในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานับประการเพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทยมาโดยตลอด ทั้งด้านการพัฒนาสังคม ชนบท คุณภาพชีวิต สาธารณสุข ด้านเกษตรกรรม และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อให้คนไทยมีอาชีพ มีรายได้

มีสุขภาพ และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดี ซึ่งพสกนิกรชาวไทยต่างซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน

สำหรับการประมงของไทย นางฐิติพร หลาวประเสริฐ อธิบดีกรมประมง เล่าให้ฟังว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่องานด้านการประมงไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ทรงหวงแหนธรรมชาติและสายน้ำของแผ่นดินไทย ฟื้นฟูให้สินในสายน้ำของแผ่นดินตั้งแต่ภูเขาตลอดจน
ท้องทะเลกลับคืนมาเลี้ยงลูกหลานไทย ด้วยพระราชปณิธานแน่วแน่ที่จะทรงฟื้นฟูแม่น้ำลำคลองและพันธุ์สัตว์น้ำ
ให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ เป็น
‘อู่น้ำ’ คุณภาพดีสำหรับอุปโภคบริโภค และเป็น ‘แหล่งผลิตอาหารโปรตีน’ ให้คนไทยอย่างยั่งยืนต่อไป ซึ่งพระองค์ท่านได้พระราชทานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริทางด้านการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จำนวนกว่า
45 โครงการ ยกตัวอย่าง อาทิ

เมื่อปี พ.ศ. 2523 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง
ศูนย์ศิลปาชีพบางไทรขึ้นบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ตำบลช้างใหญ่ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และได้เสด็จฯ ไปประทับบ่อยครั้ง ทรงสังเกตเห็นว่ากุ้งก้ามกรามในประเทศไทยมีปริมาณน้อยลง
จึงมีรับสั่งถามว่า “กุ้งเดี๋ยวนี้หายไปไหนหมด ไม่ค่อยมีขาย ต้องนำเข้ากุ้งจากพม่ามา” กรมประมงจึงได้กราบทูลถวายรายงานว่า ปัญหาเกิดจากคุณภาพน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณกุ้งเทพมหานครคุณภาพน้ำไม่ดี ออกซิเจนในน้ำน้อย ทำให้กุ้งไปใช้ในน้ำกร่อยที่ปากแม่น้ำหรือไข่แล้วลูกกุ้งเดินทางกลับมาน้ำจืดไม่ได้ ซึ่งพระองค์มีทรงมีรับสั่งถามว่า “เราจะแก้ปัญหาได้อย่างไร” ซึ่งจากพระราชเสาวนีย์นี้เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้กรมประมงน้อมนำไปสู่การดำเนิน “โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูกุ้งก้ามกราม” เพื่อให้กุ้งไทยกลับมามีจำนวนมากขึ้น จนสามารถฟื้นฟูและส่งเสริมอาชีพประมงพื้นบ้านและการเพาะเลี้ยงกุ้งน้ำจืดได้อย่างยั่งยืน โดยกรมประมงได้จัดกิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำและกุ้งก้ามกราม ณ ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ทำให้ปัจจุบันกุ้งก้ามกรามในธรรมชาติเพิ่มปริมาณมากขึ้น ชาวประมงที่มีอาชีพหาปลา และงมจับกุ้งก้ามกราม ต่างได้พึ่งพาอาศัยเพื่อหล่อเลี้ยงครอบครัว เป็นการสร้างอาชีพและรายได้ให้กับราษฎรที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ทางภูมิธรรมชาติ ซึ่งชาวบ้านแถบนั้นจึงเรียก กุ้งก้ามกรามที่จับได้จากแม่น้ำเจ้าพระยาว่า “กุ้งสมเด็จ”

“…ในแม่น้ำลำคลอง พวกเราก็ทิ้งของเสีย …ทิ้งลงไปทำให้ของที่หายากอยู่แล้ว คือน้ำจืดก็เสียไป น้ำเน่า แม่น้ำเจ้าพระยาก็เน่าไปเยอะ และการเน่าของแม่น้ำเจ้าพระยาก็หมายถึงการสูญเสีย สูญสิ้นพันธุ์ปลาต่าง ๆ ไปหลายสายพันธุ์

…ซึ่งอันนี้น่าตกใจมาก เพราะว่าพวกเราก็รับประทานปลา ปลาดูจะเป็นอาหารที่ถูกที่สุดสำหรับคนยากคนจน
เราก็ปล่อยให้ปลาสูญไปหลายสายพันธุ์แล้ว…”

พระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2542

 

ครั้งระหว่างที่ทรงเยี่ยมราษฎร ทรงสดับรายงานจากกรมประมงเกี่ยวกับโครงการพัฒนาอาชีพของกรมประมงหลายโครงการ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้พันธุ์ปลาต่างประเทศเป็นหลัก เช่น ปลาจีน ปลายี่สกเทศ หรือปลาหมอเทศ ด้วยพระองค์ทรงสงสัย และมีความห่วงใย จึงมีพระราชปรารภเป็นคำถามว่า “ปลาไทยหายไปไหนหมด” ด้วยเกรงว่าปลาเหล่านี้จะสูญพันธุ์ และมีพระราชเสาวนีย์ให้กรมประมงเร่งศึกษาและเพาะพันธุ์ปลาไทย โดยเฉพาะ ปลาไทย 17 ชนิด อาทิ ปลานวลจันทร์ ปลาคางเบือน ปลาตะเพียนทอง ปลากระแห
ปลาแก้มช้ำ ปลาทุก (เค้าดำ) ปลากราย ปลาหางไก่ ปลาสร้อย ปลาเนื้ออ่อน ปลาเสือ ปลาแมลงภู่ ปลาชะแวง ปลาชะวาด ปลาแปบ และปลาหวีเกศ ที่ปรากฏใน “บทเห่เรือชมปลาของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร” โดยกรมประมงรับสนองพระราชดำริดำเนิน โครงการฟื้นฟูทรัพยากรพันธุ์ปลาและสัตว์น้ำจืดของไทย เพื่อฟื้นฟูปลาไทยกลับมามีจำนวนมากขึ้น และอนุรักษ์ปลาหายากไว้ สามารถเพาะเลี้ยงปลาไทยดังกล่าวได้ทั้งหมด ยกเว้นปลาหวีเกศซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว โดยพันธุ์ปลาที่เพาะได้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำไปปล่อย
ในแม่น้ำลำคลองตามธรรมชาติ เพื่อคืนความหลากหลายของชนิดปลาสู่แหล่งน้ำ ซึ่งจะช่วยรักษาสภาพความสมดุลตามธรรมชาติ
ของแหล่งน้ำ และยังเป็นการเพิ่มผลผลิตของปลาในแหล่งน้ำ ทดแทนสัตว์น้ำที่ถูกทำลายไป อันจะนำมาซึ่งการใช้ทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างยั่งยืนตลอดไป โดยมีหลักการว่า “พันธุ์สัตว์น้ำที่จะปล่อยลงในแหล่งน้ำธรรมชาติต้องเป็นปลาไทยเท่านั้น”

“…เมื่อข้าพเจ้าไปอยู่ที่ภาคใต้ ประชาชนก็มาหาเองมาบอกว่าชาวประมงน้ำตื้นที่เขาไม่มีเรือใหญ่ที่จะออกไปจับปลา อาชีพเขา คือ ว่าจับปลาน้ำตื้นหน่อยหนึ่งเขาก็มาบอกว่าเดี๋ยวนี้มันไม่มีปลาที่จะจับได้แล้วเพราะว่าหมดละ ข้าพเจ้าก็ปรึกษา
ผู้ที่มีความรู้ต่าง ๆ ที่ประชุมก็เสนอให้ลองทำปะการังเทียม ซึ่งห่างจากชายฝั่ง 5 กิโลเมตร ระดับความลึกของน้ำราว ๆ
10 – 15 เมตร ก็ได้รับความช่วยเหลือจากส่วนราชการต่าง ๆ มาก เดี๋ยวนี้ก็สามารถวางปะการังเทียมที่จังหวัดปัตตานี ชายฝั่งจังหวัดปัตตานีได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งต้องขอบพระคุณกรมประมง กรมป่าไม้ การรถไฟแห่งประเทศไทย
ก็ช่วยเหลือเกิน เอาโบกี้รถไฟที่เลิกใช้แล้วเอามาทิ้งเป็นคล้าย ๆ ปะการังเทียมเพื่อให้หมู่ปลามาเกาะกันปลาเล็ก ๆ มาใช้อาศัยได้ ปลาเล็กปลาน้อย
ที่ไม่งั๊นก็จะต้องตายไป เพราะว่าทนคลื่นแรงลมคลื่นลมจัดไม่ได้ และกรมทางหลวงก็ช่วยสนับสนุนให้ท่อซีเมนต์ขนาดใหญ่
ที่ชำรุดจำนวนมากมาทิ้ง ใช้ทำปะการังเทียม...”

พระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2545

 

ในอดีตพื้นที่ชายฝั่งทะเลในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะในบริเวณจังหวัดปัตตานีและนราธิวาส ประสบปัญหาการลดลงอย่างรุนแรงของสัตว์น้ำ เนื่องจากการทำประมงเกินศักยภาพ ส่งผลให้ชาวประมงพื้นบ้านที่ใช้เรือเล็กออกหาปลาในระยะใกล้ฝั่งได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก จนกระทั่ง เมื่อปี พ.ศ. 2544 ราษฎรบ้านละเวง อำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี
ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานความช่วยเหลือจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ให้ทรงพิจารณาช่วยฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำ พระองค์จึงทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการสร้างแหล่งอาศัยใหม่ให้กับสัตว์ทะเล และฝึกอบรมให้ราษฎรรู้จักการทำประมงเชิงอนุรักษ์ กรมประมงจึงน้อมนำพระราชเสาวนีย์มาดำเนินโครงการฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งทะเล อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปัตตานีและนราธิวาส ด้วยการจัดสร้าง “ปะการังเทียม
” เพื่อเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำและฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่งให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ จนปัจจุบันนี้พบสัตว์น้ำหลากหลายชนิดกลับมามีจำนวนมากในพื้นที่ปะการังเทียม ระบบนิเวศทางทะเลและแนวชายฝั่ง
มีความสมบูรณ์เพิ่มขึ้น ช่วยส่งเสริมอาชีพประมงพื้นบ้านให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เกิดเครือข่ายชุมชนร่วมอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรทะเลอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นโครงการสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงพระวิสัยทัศน์ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและการประกอบอาชีพของชาวประมงพื้นบ้านในพื้นที่ภาคใต้ และที่น่าภาคภูมิใจ คือ ประเทศไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นต้นแบบการใช้ปะการังเทียมเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน อีกทั้ง ภายใต้โครงการดังกล่าว ยังมีกิจกรรมการฟื้นฟูระบบนิเวศป่าชายเลน พื้นที่ชุ่มน้ำ แนวหญ้าทะเล ซึ่งเป็นแหล่งเพาะและอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน โดยกรมประมงได้ผลิตและปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำลงสู่ชายฝั่งทะเล ตลอดจนการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาอาชีพแก่ประชาชนในพื้นที่อีกด้วย

 

นอกจากนี้ กรมประมงยังสนองงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
พระบรมราชชนนีพันปีหลวง อีกมากมาย อาทิ โครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริ โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่
อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการหมู่บ้านยามชายแดน โครงการธนาคารอาหารชุมชน ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินงานในหลายพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อส่งเสริมความรู้ในการประกอบอาชีพด้านการเพาะเลี้ยง – แปรรูปสัตว์น้ำ สร้างรายได้ให้กับประชาชน และยังมี
โครงการที่ดำเนินงานในแต่ละพื้นที่ เช่น โครงการฟาร์มทะเลตัวอย่างตามพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์น้ำในศูนย์ศิลปาชีพแห่งใหม่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โครงการศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดศรีสะเกษ โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาและอนุรักษ์พันธุ์ปูป่าทุ่งทะเล อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดกระบี่ เพื่อส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์น้ำไว้สำหรับบริโภคในครัวเรือน และเป็นแหล่งเรียนรู้และสาธิตการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เป็นต้น ซึ่งโครงการพระราชดำริดังที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งในในพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านที่แสดงถึงพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลที่มุ่งหมายให้เกิดความยั่งยืน
ของทรัพยากร และแสดงให้เห็นถึงน้ำพระราชหฤทัยที่เปี่ยมล้นไปด้วยพระเมตตาต่อพสกนิกรชาวไทย เพื่อให้ราษฎรของพระองค์
อยู่ดีมีสุขบนผืนแผ่นดินไทย...อธิบดีฯ กล่าว

ที่มา : กลุ่มเผยเเพร่เเละประชาสัมพันธ์     แชร์เนื้อหา : ส่ง email แชร์ X ส่ง Line แชร์ Facebook