แวดวงงานวิชาการกับการประมง : นวัตกรรมการลำเลียงปูทะเล โดย กองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง กรมประมง

         อาชีพเลี้ยงปูทะเลหรือที่คนทั่วไปเรียกว่า “ปูดำ” นั้น เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากปูนั้นสามารถทำได้หลากหลายเมนู โดยเฉพาะเมนูที่ทำมาจากปูสดนั้น แค่นำไปจิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ดก็อร่อยถูกใจสายแซ่บ สายยำ เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามมักพบว่า วิธีการขนส่งลูกพันธุ์ปูทะเลระยะวัยรุ่นนั้น ยังคงเป็นปัญหาของผู้ประกอบการมาอย่างต่อเนื่อง เพราะแบบดั้งเดิมที่ใช้นั้นมีหลายขั้นตอนและใช้ต้นทุนในการขนส่งสูงมาก

         จากข้อจำกัดดังกล่าว กรมประมง โดย กองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง จึงได้คิดค้นนวัตกรรมการขนส่งลูกพันธุ์ปูทะเลระยะวัยรุ่นรูปแบบใหม่ ในการแพ็คและขนส่งลูกพันธุ์ปูทะเลในรูปแบบ ที่จัดการได้ง่าย โดยการบรรจุลูกพันธุ์ปูในถุงซิปล็อคซึ่งมีวัสดุรักษาความชื้นอยู่ภายใน และถุงซิปล็อคนั้นยังหาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพง สามารถนำถุงซิปล็อคกลับมาใช้ใหม่ วันนี้เราจึงมีวิธีการลำเลียงปูทะเลรูปแบบใหม่ ซึ่งเป็นวิธีที่ใครๆ ก็ทำได้ มาฝากกันค่ะ
             Step 1. เจาะรูถุงซิปล็อคด้วยเหล็กตอกเจาะรู เลือกใช้ขนาดรูที่เหมาะสมกับขนาดปู ควรเจาะไว้หลายๆ รู เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดี
             Step 2. นำสำลีชุบน้ำเค็มจนชุ่มใส่ในถุงซิปล็อค (ขนาดของก้อนสำลีใช้ขนาดพอๆ กับก้อนสำลีสำเร็จรูปที่ใช้ทางการแพทย์ 1 ก้อน/ถุง ก็เพียงพอสำหรับปูขนาดใหญ่ แต่หากปูมีขนาดเล็กก็ใช้น้อยลงได้
             Step 3. สลบปูด้วยน้ำเย็น (น้ำเค็ม) 10 องศาเซลเซียส
             Step 4. นำปูใส่ถุงรูดซิปปากถุง
             Step 5. จัดเรียงในถาดหรือกล่องโฟม ในลักษณะที่ทำให้อากาศผ่านเข้าออกถุงได้สะดวก
             Step 6. ขนส่งไปยังปลายทาง
 

เห็นไหมคะ  การลำเลียงปูทะเลรูปแบบใหม่โนการใช้งานถุงซิปล็อคนั้น ทำได้ง่าย แค่เปิดปากถุง ใส่ปู แล้วรูดซิปปากถุง ซึ่งจากการทดลองพบว่าลูกพันธุ์ปูสามารถมีชีวิตอยู่ในถุงได้นานหลายวัน อีกทั้งยังใช้เวลาบรรจุต่อตัวน้อย สามารถใช้ได้กับลูกพันธุ์ปูทะเลหลากหลายขนาดโดยการปรับเปลี่ยนขนาดถุงด้วย ท่านใดสนใจสามารถนำเทคนิคนี้ไปลองใช้กันได้เลยนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : กองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง กรมประมง (ผอ.สามารถ เดชสถิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการพัฒนาและอนุรักษ์พันธุ์ปู ป่าทุ่งทะเลอันเนื่องมาจากพระราชดำริ)

ที่มา : ประชาสัมพันธ์ กรมประมง