กรมประมง ยังคง ศึกษา ค้นคว้า วิจัย มุ่งเน้นการพัฒนาความหลากหลายทางพันธุกรรมสัตว์น้ำ เพื่อการอนุรักษ์ และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก

 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี




กรมประมง ยังคง ศึกษา ค้นคว้า วิจัย มุ่งเน้นการพัฒนาความหลากหลายทางพันธุกรรมสัตว์น้ำ เพื่อการอนุรักษ์ และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก

สัตว์น้ำและไม้น้ำปรับปรุงพันธุ์ของกรมประมง

กรมประมง ยังคง ศึกษา ค้นคว้า วิจัย มุ่งเน้นการพัฒนาความหลากหลายทางพันธุกรรมสัตว์น้ำ เพื่อการอนุรักษ์ และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก

     กว่า 30 ปี ที่กรมประมงได้ดำเนินการปรับปรุงพันธุ์สัตว์น้ำ และได้สร้างสายพันธุ์สัตว์น้ำรวม 12 สายพันธุ์ในสัตว์น้ำ 8 ชนิด ได้แก่ ปลานิลดำ ปลานิลแดง ปลาตะเพียน กุ้งก้ามกราม ปลายี่สกเทศ ปลานวลจันทร์เทศ ปลาหมอ ปลาไน และพันธุ์ไม้น้ำ 1 ชนิด มีการนำไปใช้ประโยชน์ส่งเสริมเกษตรกรผ่านโครงการภาครัฐหลากหลายโครงการ

สื่ออิเล็กทรอนิกส์ : สัตว์น้ำและไม้น้ำปรับปรุงพันธุ์ของกรมประมง กับ กองวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำ กรมประมง

                              เอกสาร สัตว์น้ำและไม้น้ำปรับปรุงพันธุ์ของกรมประมง

 

กรมประมงกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมประมง

เปิดโผ 13 พันธุ์สัตว์น้ำและไม้น้ำที่ปรับปรุงพันธุ์เพื่อเกษตรกรไทย

         ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมประมงต้องการสัตว์น้ำที่มีคุณภาพและมีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการ หากผู้ประกอบการรายใดสามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้ก็จะสามารถยึดเป็นอาชีพหลักที่สร้างรายได้ได้เป็นอย่างดี และด้วยเหตุนี้กรมประมงจึงได้นำเทคโนโลยีการปรับปรุงพันธุ์ด้วยวิธีการต่าง ๆ มาใช้ในการพัฒนาพันธุ์สัตว์น้ำและไม้น้ำเพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่มีคุณภาพดี มีลักษณะปรากฏตามที่ผู้เพาะเลี้ยงต้องการ ช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการเพาะเลี้ยงและขีดความสามารถด้านการแข่งขันให้กับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของไทย

         การปรับปรุงพันธุ์สัตว์น้ำมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อภาคอุตสาหกรรมประมงของไทย เนื่องจากปริมาณสัตว์น้ำที่จับจากธรรมชาติเริ่มไม่แน่นอน และมีแนวโน้มลดลงเนื่องจากปัญหาสภาพแวดล้อม อีกทั้งการเพาะเลี้ยงยังมีขีดจำกัดด้านผลผลิตเนื่องจากปัญหาด้านโรคที่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้ความหลากหลายของสายพันธุ์ลดลง ในขณะที่ความต้องการบริโภคสัตว์น้ำมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก กรมประมงจึงมองเห็นความสำคัญและให้การสนับสนุนในเรื่องของการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์สัตว์น้ำมาอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันเป็นที่ปรากฏว่าสัตว์น้ำปรับปรุงพันธุ์ของกรมประมงเป็นที่ต้องการของตลาด โดยที่บางชนิดได้กลายเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

         ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า นักวิจัยของกองฯ ได้นำเทคโนโลยีต่าง ๆ อาทิ เทคโนโลยีระดับพันธุกรรมโมเลกุล เทคโนโลยีการคัดเลือกแบบมาตรฐาน การจัดการชุดโครโมโซม การแปลงเพศ ตลอดจนเทคโนโลยีการฉายรังสีแกมม่าร่วมกับการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อไม้น้ำ เข้ามาช่วยปรับปรุงพันธุ์สัตว์น้ำและไม้น้ำให้มีคุณภาพดี และตรงกับความต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องอัตราการเจริญเติบโตและอัตรารอดที่เพิ่มขึ้น การทนต่อความเค็มได้ดี และลักษณะพันธุ์ที่แปลกใหม่และหลากหลาย เป็นต้น

        ปัจจุบันสัตว์น้ำและไม้น้ำปรับปรุงพันธุ์ที่มีคุณภาพและลักษณะพันธุ์ที่ดี ซึ่งกรมประมงได้ให้ความเห็นชอบในการตั้งชื่อพันธุ์เรียบร้อยแล้ว ได้แก่พันธุ์สัตว์น้ำและไม้น้ำที่มี “ชื่อพันธุ์” ดังต่อไปนี้

1. ปลานิลจิตรลดา 3 : ปรับปรุงพันธุ์อย่างต่อเนื่อง ด้วยวิธีการ “คัดเลือกแบบหมู่” จนได้สายพันธุ์ที่มีอัตรารอดและให้ผลผลิตสูง เจริญเติบโตได้ดีกว่าพันธุ์จิตรลดาดั้งเดิม 40%ปลานิลจิตรลดา 3 : ปรับปรุงพันธุ์อย่างต่อเนื่อง ด้วยวิธีการ “คัดเลือกแบบหมู่” จนได้สายพันธุ์ที่มีอัตรารอดและให้ผลผลิตสูง เจริญเติบโตได้ดีกว่าพันธุ์จิตรลดาดั้งเดิม 40%

    “จิตรลดา 3” เป็นพันธุ์ปลานิลที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์สำเร็จในปี 2550 โดยวิธีการคัดเลือกแบบหมู่ เพื่อให้มีการเจริญเติบโตดี มีอัตรารอดและให้ผลผลิตสูง ประชากรเริ่มต้นจากปลานิลสายพันธุ์ GIFT (Genetic Improvement of Farmed Tilapia) รุ่นที่ 5 ของหน่วยงาน ICLARM ในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งมีสายพันธุ์จิตรลดาดั้งเดิมผสมอยู่ด้วย ลักษณะเด่นคือ หัวเล็ก ตัวหนา เนื้อแน่นและมาก หน่วยงานหลักที่ทำการผลิต ณ ปัจจุบัน ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำอุตรดิตถ์ บุรีรัมย์ เพชรบุรี และชุมพร

2. ปลานิลจิตรลดา 4 : ปรับปรุงพันธุ์โดยวิธีการ “คัดเลือกการจากประเมินจากค่าการผสมพันธุ์ของน้ำหนัก” เพื่อให้ได้ผลผลิตสูง เจริญเติบโตได้ดีกว่าพันธุ์จิตรลดาดั้งเดิม 36%ปลานิลจิตรลดา 4 : ปรับปรุงพันธุ์โดยวิธีการ “คัดเลือกการจากประเมินจากค่าการผสมพันธุ์ของน้ำหนัก” เพื่อให้ได้ผลผลิตสูง เจริญเติบโตได้ดีกว่าพันธุ์จิตรลดาดั้งเดิม 36%

     “จิตรลดา 4” เป็นพันธุ์ปลานิลที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์สำเร็จในปี 2552 โดยวิธีการคัดเลือกแบบดูลักษณะตัวเองที่มีการประเมินจากค่าการผสมพันธุ์ของน้ำหนัก เพื่อให้ได้ผลผลิตสูง ประชากรเริ่มต้นจากปลานิลสายพันธุ์ GIFT รุ่นที่ 9 จาก WorldFish Center ประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีสายพันธุ์จิตรลดาดั้งเดิมผสมอยู่ด้วยเช่นกัน ลักษณะเด่น คือ ส่วนหัวเล็ก ลำตัวกว้าง สันหนา หน่วยงานผลิต ณ ปัจจุบัน ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำปทุมธานี

3. “เร้ด 1” เป็นพันธุ์ปลานิลแดงที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์สำเร็จในปี 2550 โดยวิธีการคัดเลือกแบบหมู่ เพื่อให้มีการเจริญเติบโตที่ดีทั้งด้านความยาวและน้ำหนัก ประชากรเริ่มต้นจากปลานิลแดงสายพันธุ์ไทย (NIFI strain) หน่วยงานผลิต ณ ปัจจุบัน ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำชุมพร

4. “เร้ด 2” เป็นพันธุ์ปลานิลแดงที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์สำเร็จในปี 2555 โดยวิธีการคัดเลือกแบบดูลักษณะภายในครอบครัว เพื่อให้มีการเจริญเติบโตที่ดีทั้งด้านความยาวและน้ำหนัก ประชากรเริ่มต้นจากปลานิลแดงสายพันธุ์อุตรดิตถ์และรวบรวมจากแหล่งพันธุ์อื่นในจังหวัดใกล้เคียงที่มีรูปร่างลักษณะดี สีสด มีกระจุดด่างดำน้อย หน่วยงานผลิต ณ ปัจจุบัน ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำอุตรดิตถ์

5. “ปทุมธานี 1” เป็นพันธุ์ปลานิลแดงที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์สำเร็จในปี 2552 โดยวิธีการคัดเลือกแบบดูลักษณะตัวเองที่มีการประเมินจากค่าการผสมพันธุ์ของน้ำหนัก ในน้ำความเค็ม 25-30 ส่วนในพัน เพื่อให้มีการเจริญเติบโตเร็ว ให้ผลผลิตสูง และสามารถเลี้ยงได้ในน้ำเค็มระดับ 25-30 ส่วนในพัน ประชากรเริ่มต้นจากปลานิลแดง 4 สายพันธุ์ คือ ไทย ไต้หวัน มาเลเซีย และสเตอร์ลิง มีลักษณะเด่น คือ ลำตัวกว้าง สันหนา สีชมพูอมส้ม หน่วยงานผลิต ณ ปัจจุบัน ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำปทุมธานี

6. ปลาหมอชุมพร 1 : ปรับปรุงพันธุ์จากปลาหมอพันธุ์เพาะเลี้ยงของภาคใต้ โดยวิธีการ “คัดเลือกแบบหมู่ 4 รุ่น” เพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่มีการเจริญเติบโตดีและให้ผลผลิตสูง อัตราการการเจริญเติบโตสูงกว่าปลาหมอสายพันธุ์เดิม 25.22 %ปลาหมอชุมพร 1 : ปรับปรุงพันธุ์จากปลาหมอพันธุ์เพาะเลี้ยงของภาคใต้ โดยวิธีการ “คัดเลือกแบบหมู่ 4 รุ่น” เพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่มีการเจริญเติบโตดีและให้ผลผลิตสูง อัตราการการเจริญเติบโตสูงกว่าปลาหมอสายพันธุ์เดิม 25.22 %

    “ชุมพร 1” เป็นพันธุ์ปลาหมอที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์สำเร็จในปี 2553 โดยวิธีการคัดเลือกแบบหมู่ เพื่อให้มีการเจริญเติบโตดี และให้ผลผลิตสูง ประชากรเริ่มต้นจากปลาหมอพันธุ์เพาะเลี้ยงของภาคใต้ มีลักษณะเด่น คือ มีขนาดใหญ่และโตเร็ว หน่วยงานผลิต ณ ปัจจุบัน ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำชุมพร

7. “ซิลเวอร์ 1 ซี” เป็นพันธุ์ปลาตะเพียนขาวที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์สำเร็จในปี 2547 โดยวิธีการคัดเลือกแบบดูลักษณะตัวเอง เพื่อให้มีการเจริญเติบโตดี ประชากรเริ่มต้นจากปลาตะเพียนขาวสายพันธุ์แม่น้ำเจ้าพระยา หน่วยงานผลิต ณ ปัจจุบัน ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำอุตรดิตถ์

8. “ซิลเวอร์ 2 เค” เป็นพันธุ์ปลาตะเพียนขาวที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์สำเร็จในปี 2550 โดยวิธีคัดเลือกแบบดูลักษณะตัวเอง เพื่อให้มีการเจริญเติบโตที่ดี ประชากรเริ่มต้นจากปลาตะเพียนขาวสายพันธุ์แม่น้ำโขง หน่วยงานผลิต ณ ปัจจุบัน ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำบุรีรัมย์

9. “คอม 1” เป็นพันธุ์ปลาไนที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์สำเร็จในปี 2550 โดยวิธีการคัดเลือกแบบหมู่ เพื่อให้มีการเจริญเติบโตดี สัดส่วนปลาเนื้อแล่ดีกว่าสายพันธุ์อื่น มีลักษณะเด่น คือ รูปร่างลำตัวยาว หัวและท้องเล็ก สามารถเลี้ยงแบบพื้นบ้านหรือเศรษฐกิจพอเพียงได้ดี ประชากรเริ่มต้นจากปลาไนสายพันธุ์เวียดนาม หน่วยงานผลิต ณ ปัจจุบัน ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำบุรีรัมย์

10. “โรห์ 1” เป็นพันธุ์ปลายี่สกเทศที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์สำเร็จในปี 2556 โดยวิธีการคัดเลือกแบบหมู่ เพื่อให้มีขนาดและการเจริญเติบโตที่ดีขึ้น ประชากรเริ่มต้นจากปลายี่สกเทศที่นำเข้าจากประเทศอินเดีย หน่วยงานผลิต ณ ปัจจุบัน ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำอุตรดิตถ์

11. “มา 1” เป็นพันธุ์ปลานวลจันทร์เทศที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์สำเร็จในปี 2557 โดยวิธีการคัดเลือกแบบหมู่ เพื่อให้มีขนาดและอัตราการเจริญเติบโตดีขึ้น ประชากรเริ่มต้นจากปลานวลจันทร์เทศสายพันธุ์เพาะเลี้ยงของหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกรมประมง หน่วยงานผลิต ณ ปัจจุบัน ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำอุตรดิตถ์

12. กุ้งก้ามกราม มาโคร 1 : เป็นกุ้งก้ามกรามที่ “ปรับปรุงพันธุ์จากพ่อแม่พันธุ์กุ้งก้ามกรามสายพันธุ์เดิม” และปลอดจากเชื้อ Macrobrachium rosenbergii nodavirus (MrNV) และ Extra small virus (XSV) จนมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น 5 - 15 %กุ้งก้ามกราม มาโคร 1 : เป็นกุ้งก้ามกรามที่ “ปรับปรุงพันธุ์จากพ่อแม่พันธุ์กุ้งก้ามกรามสายพันธุ์เดิม” และปลอดจากเชื้อ Macrobrachium rosenbergii nodavirus (MrNV) และ Extra small virus (XSV) จนมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น 5 - 15 %

      “มาโคร 1” เป็นพันธุ์กุ้งก้ามกรามที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์สำเร็จในปี 2550 โดยวิธีการคัดเลือกแบบดูลักษณะภายในครอบครัวและแบบหมู่ต่อเนื่องกัน เพื่อให้มีขนาดและการเจริญเติบโตที่ดีกว่าเดิม ประชากรเริ่มต้นจากกุ้งก้ามกรามของฟาร์มเกษตรกรจังหวัดราชบุรี หน่วยงานผลิต ณ ปัจจุบัน ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำเพชรบุรี

13. “อนูเจ็น 1” เป็นพันธุ์ไม้น้ำอนูเบียสที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์สำเร็จในปี 2552 โดยวิธีการฉายรังสีแกมม่าร่วมกับเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เพื่อให้ได้ “พันธุ์กลาย” ที่มีลักษณะของต้น ใบ และรากที่หลากหลาย กล่าวคือ ต้นแคระ ใบเล็ก ใบและรากสีเขียว ด่าง และขาว เป็นต้น หน่วยงานผลิต ณ ปัจจุบัน ได้แก่ กองวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำ จ.ปทุมธานี

        เป็นที่ทราบดีว่างานด้านการปรับปรุงพันธุ์สัตว์น้ำแต่ละชนิดเป็นเรื่องที่ยากและท้าทาย เพราะแต่ละชนิดจะต้องใช้เวลาในการศึกษาวิจัยไม่ต่ำกว่า 5 ปี เพื่อให้มั่นใจว่าสัตว์น้ำได้แสดงออกซึ่งลักษณะพันธุ์ตามที่ต้องการได้อย่างคงที่ยาวนาน แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ทีมนักวิจัยของกรมประมงก็พร้อมที่จะมุ่งมั่นพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์สัตว์น้ำและพันธุ์ไม้น้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมประมงของไทยสามารถแข่งขันได้อย่างทัดเทียมในเวทีการค้าโลกสืบต่อไป  

        สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำ ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี  โทร. 0 2904 7604, 0 29047 805 และ 0 2904 7446  โทรสาร 0 2577 5061, e-mail: genetic.agrdi@gmail.com

 

“6 สัตว์น้ำปรับปรุงพันธุ์”

    ทางเลือกสำหรับเกษตรกร เลี้ยงง่าย โตไว ให้ผลผลิตคุณภาพสูง“ การพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์สัตว์น้ำ โดยเฉพาะชนิดพันธุ์ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจนั้น มีความจำเป็นเป็นอย่างมาก ซึ่งจะช่วย ยกระดับการผลิตของเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศไทยได้

    ล่าสุด กรมประมงเผยข้อมูล “6 สัตว์น้ำปรับปรุงพันธุ์” ที่ได้ดำเนินการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์จนส่งผลให้สัตว์น้ำเลี้ยงง่าย โตไว แข็งแรง อัตราการรรอดสูง และตรงความต้องการของตลาด ประกอบด้วย

  • ปลานิลจิตรลดา 3 : ปรับปรุงพันธุ์อย่างต่อเนื่อง ด้วยวิธีการ “คัดเลือกแบบหมู่” จนได้สายพันธุ์ที่มีอัตรารอดและให้ผลผลิตสูง [มีลักษณะเด่น คือ ส่วนหัวเล็ก ตัวหนา เนื้อแน่นและมาก] เจริญเติบโตได้ดีกว่าพันธุ์จิตรลดาดั้งเดิม 40% จากการติดตามประเมินผลการเพาะเลี้ยงของเกษตรกรในปี 2565 พบว่ามีผลผลิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 4% หน่วยงานผลิต ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำอุตรดิตถ์, ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำบุรีรัมย์, ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำเพชรบุรี, ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำชุมพร และศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำปทุมธานี
  • ปลานิลจิตรลดา 4 : ปรับปรุงพันธุ์โดยวิธีการ “คัดเลือกการจากประเมินจากค่าการผสมพันธุ์ของน้ำหนัก” เพื่อให้ได้ผลผลิตสูง [มีลักษณะเด่นคล้ายกับ “ปลานิลจิตรลดา 3” คือ ส่วนหัวเล็ก ลำตัวกว้าง สันหนา] เจริญเติบโตได้ดีกว่าพันธุ์จิตรลดาดั้งเดิม 36% จากการติดตามประเมินผลการเพาะเลี้ยงของเกษตรกรในปี 2565 พบว่ามีผลผลิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 4% หน่วยงานผลิต ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำบุรีรัมย์ และศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำปทุมธานี
  • ปลาหมอชุมพร 1 : ปรับปรุงพันธุ์จากปลาหมอพันธุ์เพาะเลี้ยงของภาคใต้ โดยวิธีการ “คัดเลือกแบบหมู่ 4 รุ่น” เพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่มีการเจริญเติบโตดีและให้ผลผลิตสูง [มีลักษณะเด่น คือ โตเร็ว และมีขนาดใหญ่ ส่วนหัวเล็ก และสันหนา] อัตราการการเจริญเติบโตสูงกว่าปลาหมอสายพันธุ์เดิม 25.22 % จากการติดตามประเมินผลการเพาะเลี้ยงของเกษตรกรในปี 2565 พบว่ามีผลผลิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 5.91% หน่วยงานผลิต ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำชุมพร 
  • ปลาตะเพียนขาวนีโอเมล : เป็นพ่อพันธุ์ปลาตะเพียนขาวเพศผู้ที่ได้รับการพัฒนาพันธุ์ “สามารถนำไปผสมพันธุ์กับแม่พันธุ์ปกติ” และให้ผลผลิตเป็นลูกปลาตะเพียนขาวเพศเมียมากกว่า 80 %  ให้ผลผลิตมากกว่าการเลี้ยงปลาตะเพียนขาวแบบรวมเพศ ไม่น้อยกว่า 24 % จากการติดตามประเมินผลการเพาะเลี้ยงของเกษตรกรในปี 2565 พบว่ามีผลผลิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 35.75% หน่วยงานผลิต ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำบุรีรัมย์
  • กุ้งขาวสิชล 1 : เป็นกุ้งขาวแวนนาไม (Litopenaeus vannamei) ที่ผ่านการปรับปรุงพันธุ์และพัฒนาพันธุ์ด้านการเจริญเติบโต โดยคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่มีลักษณะการเจริญเติบโตดีและปลอดจากเชื้อที่กำหนด 8 โรค [คือ โรคตัวแดงดวงขาว (WSSV), โรคทอร่า (TSV), โรคกล้ามเนื้อขาวหรือกล้ามเนื้อตาย (IMNV), โรคแคระแกร็น (IHHNV), โรคหัวเหลือง (YHV), โรค covert mortality nodavirus (CMNV) และโรคตายด่วนเนื่องจากแบคทีเรียที่ทำให้เกิดตับวายเฉียบพลัน (EMS-AHPND) และเชื้อ Enterocytozoon hepatopenaei (EHP)] จนได้สายพันธุ์ที่มีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น 32.54 - 34.58 % “สามารถเลี้ยงได้ทุกพื้นที่ชายฝั่งของประเทศไทย“  จากการติดตามประเมินผลการเพาะเลี้ยงของเกษตรกรในปี 2565 พบว่ามีผลผลิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 17.34% หน่วยงานผลิต ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำนครศรีธรรมราช
  • กุ้งก้ามกราม มาโคร 1 : เป็นกุ้งก้ามกรามที่ “ปรับปรุงพันธุ์จากพ่อแม่พันธุ์กุ้งก้ามกรามสายพันธุ์เดิม” และปลอดจากเชื้อ Macrobrachium rosenbergii nodavirus (MrNV) และ Extra small virus (XSV) จนมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น 5 - 15 % จากการติดตามประเมินผลการเพาะเลี้ยงของเกษตรกรในปี 2565 พบว่ามีผลผลิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 19.79% หน่วยงานผลิต ได้แก่ กองวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำ และศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำเพชรบุรี

หากเกษตรกรมีความสนใจเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสายพันธุ์ดังกล่าวข้างต้น สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : หน่วยงานผลิต หรือ กองวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โทร. 0 2904 7604, 0 2904 7805 และ 0 2904 7446

 

ยกระดับผลผลิต “ปลาสลิด”

     ปลาน้ำจืดเศรษฐกิจของไทยให้คงไว้ซึ่งคุณภาพ โดยวางแนวทางในการบริหารจัดการพันธุกรรม เพื่อประโยชน์ในการเพาะเลี้ยงและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ ควบคู่กับการอนุรักษ์สายพันธุ์พื้นเมืองตามหลักพันธุศาสตร์ เพื่อฟื้นฟูประชากรปลาสลิดในธรรมชาติให้ คงความอุดมสมบูรณ์สืบไป

   “ปลาสลิด” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Trichopodus pectoralis Regan, 1910 เป็นปลาน้ำจืดพื้นถิ่นของไทย พบแหล่งอาศัยแพร่กระจายทั่วประเทศ โดยมีแหล่งเพาะเลี้ยงสำคัญอยู่ที่ราบลุ่มทางภาคกลาง ปลาสลิดเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย เป็นที่ต้องการของตลาด ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เนื่องจากเป็นที่นิยมของผู้บริโภค โดยส่วนใหญ่มักจะถูกแปรรูปเป็นปลาแห้ง ปลาเค็ม และปลาแดดเดียว จำหน่ายในราคาสูงถึง 160-350 บาท/กิโลกรัม นอกจากนี้ ยังมีการแปรรูปเป็นปลาสลิดไร้ก้างพร้อมรับประทานราคาสูง ซึ่งนับว่ามีราคาที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับปลาน้ำจืดชนิดอื่น โดยจากข้อมูลผลผลิตสัตว์น้ำจืดของกรมประมง ในปี พ.ศ. 2565 ไทยมีผลผลิตปลาสลิดถึง 9,550 ตัน คิดเป็นมูลค่า 621.480 ล้านบาท

   (เหตุ) แต่ด้วยการเลี้ยงปลาสลิดที่ใช้ระยะเวลาการเลี้ยงนานถึง 8-10 เดือน ทำให้เกษตรกรสามารถเลี้ยงปลาสลิดได้เพียง 1 รอบ/ปี จึงนิยมเลี้ยงในบ่อที่มีขนาดใหญ่เพื่อปล่อยปลาได้จำนวนมาก โดยทั่วไปบ่อเลี้ยงจะมีขนาดเฉลี่ย 3 ไร่ ใช้เวลาเลี้ยงนาน 8-10 เดือน ได้ปลาสลิดขนาด 10-12 ตัว/กิโลกรัม ผลผลิตเฉลี่ย 500 กิโลกรัม/ไร่ 

   (การยกระดับผลผลิต) กรมประมง โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำชุมพร จึงมีแนวคิดในการปรับปรุงพันธุ์ปลาสลิดเพื่อเพิ่มอัตราการเจริญเติบโต เพื่อใช้ในการส่งเสริมให้เกษตรกรใช้เลี้ยงเชิงพาณิชย์ ลดระยะเวลาการเลี้ยง สามารถเลี้ยงได้หลายรูปแบบมากขึ้น เพื่อให้เกษตรกรสามารถเลี้ยงปลาสลิดได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้เกษตรกรและเพิ่มปริมาณผลผลิตปลาสลิดให้เพียงพอกับความต้องการของตลาด 
     กระบวนการปรับปรุงพันธุ์ปลาสลิด เริ่มตั้งแต่ปี 2562 ด้วยวิธีการคัดเลือกแบบหมู่ จำนวน 2 รุ่น โดยใช้ปลาสลิดดอนนาจากจังหวัดปัตตานีเป็นประชากรเริ่มต้น คัดเลือกปลาที่มีน้ำหนักมากที่สุด 10 % จากประชากรทั้งหมดในแต่ละรุ่น มาใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ในการผลิตพันธุ์ปลาสลิด ที่เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงในพื้นที่ภาคใต้ โดยจากการศึกษาวิจัยพบว่าเมื่อนำปลาสลิดเลี้ยงในกระชังนาน 6 เดือน ที่ระดับความหนาแน่น 20 ตัว/ตารางเมตร ได้น้ำหนักเฉลี่ย 76.80 กรัม (13-14 ตัว/กิโลกรัม) 
     ต่อมาในปี 2564 ได้นำวิธีการปรับปรุงพันธุ์ ด้วยการประมาณค่าศักยภาพทางพันธุกรรม (Estimate Breeding Value ;EBVs) มาใช้ในการพัฒนาสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง โดยใช้ประชากรเริ่มต้นจาก 4 แหล่ง ได้แก่ พิษณุโลก บุรีรัมย์ สุพรรณบุรี และชุมพร เพื่อเพิ่มความหลากหลายทางพันธุกรรม ตลอดจนมีการใช้เครื่องหมาย Passive integrated transponder (PIT TAG) เพื่อระบุข้อมูลสัตว์น้ำรายตัว ซึ่งช่วยให้เพิ่มความแม่นยำและเพิ่มความก้าวหน้าในการคัดเลือกได้มากขึ้น

   (ยังคงรักษา/คงไว้) กรมประมง ยังให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สายพันธุ์ปลาสลิดดั้งเดิม เพื่อเก็บรักษาแหล่งพันธุกรรมให้คงอยู่อย่างยั่งยืน โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำชุมพร ได้ดำเนินโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมปลาสลิด จังหวัดชุมพร ภายใต้แผนปฏิบัติงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ. สธ.)โดยได้รวบรวมปลาสลิดธรรมชาติจากตำบลท่ายาง อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร มาเพาะพันธุ์และอนุบาลให้ได้ลูกปลาขนาด 2 – 5 เซนติเมตร แล้วนำไปปล่อยคืนสู่แหล่งน้ำดั้งเดิม โดยมีเป้าหมาย 50,000 ตัว/ปี

สามารถติดต่อขอข้อมูลการเลี้ยงปลาสลิดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำชุมพร กองวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำ กรมประมง โทรศัพท์ 077-510-310

 

 

กรมประมง-สวก.ร่วมพัฒนา กุ้งขาวแวนนาไม 2 สายพันธุ์ใหม่ เน้นโตดี และต้านทานโรค

   กรมประมง และสวก.ร่วมกันวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กุ้งขาวแวนนาไม 2 สายพันธุ์ใหม่ ด้วยเทคโนโลยีการปรับปรุงสายพันธุ์ ได้แก่ "เพชรดา 1" เน้นการเติบโตดี และ "ศรีดา 1" ต้านทานโรค EMS-AHPND หวังสร้างทางเลือกและยกขีดความสามารถการแข่งขันในอุตสาหกรรมกุ้ง

   กุ้งทะเลเป็นสัตว์น้ำที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างมาก โดยในอดีตสามารถสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศปีละเกือบแสนล้านบาท เนื่องจากเป็นสินค้าที่ตลาดมีความต้องการสูงทั้งภายในและต่างประเทศ กระทั่งเมื่อปี 2555 การเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลของไทยประสบวิกฤติการระบาดของ โรคตายด่วน หรือ EMS-AHPND สร้างความเสียหายและส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกุ้งไทยตลอดห่วงโซ่การผลิต ซึ่งที่ผ่านมา กรมประมงได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาเพื่อฟื้นฟูผลผลิตกุ้งทะเลอย่างต่อเนื่อง

   สำหรับในด้านการวิจัยนั้น กรมประมงได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) สวก. ดำเนินการโครงการศึกษาวิจัยเรื่อง "การสร้างประชากรพ่อแม่พันธุ์กุ้งขาวปลอดโรคและโตดีเพื่อการเพาะเลี้ยงในประเทศไทยและการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน" เพื่อพัฒนาสายพันธุ์กุ้งขาวแวนนาไมให้มีคุณภาพด้วยเทคโนโลยีการปรับปรุงพันธุ์ โดยการคัดเลือกร่วมกับการพัฒนาและประยุกต์ใช้เครื่องหมายพันธุกรรมโมเลกุล ซึ่งได้แก่ เครื่องหมายสนิป และไมโครแซทเทลไลท์ จนประสบผลสำเร็จ และได้กุ้งขาวแวนนาไม 2 สายพันธุ์ใหม่ คือ 
   "เพชรดา 1" ซึ่งมีลักษณะเด่นด้านการเจริญเติบโตดี และ 


   "ศรีดา 1" มีลักษณะเด่นในด้านการต้านทานโรค EMS-AHPND

   ขณะนี้ กุ้งขาวแวนนาไมทั้ง 2 สายพันธุ์ ยังอยู่ในระยะการวิจัยเพื่อต่อยอดเพิ่มเติม โดยกรมฯ ได้นำกุ้งขาวที่ผ่านการปรับปรุงพันธุ์จากโครงการฯ ดังกล่าว มาทำการทดสอบในเชิงพาณิชย์ ทั้งในด้านการใช้พ่อแม่พันธุ์ การเพาะฟักและอนุบาล รวมถึงการนำไปเลี้ยงให้ได้ขนาดที่ตลาดต้องการในบ่อเลี้ยงกุ้งของเกษตรกรที่มีรูปแบบและสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน เพื่อให้ได้ข้อมูลทางวิชาการที่เป็นประโยชน์ต่อการนำกุ้งขาวทั้ง 2 สายพันธุ์ ไปเลี้ยงให้เกิดผลผลิตที่ดี มีคุณภาพ ซึ่งจะเป็นทางเลือกให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งทะเล ได้ใช้ประโยชน์ในการทดแทนการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์กุ้งทะเลจากต่างประเทศ ลดการใช้พ่อแม่พันธุ์กุ้งขาวจากบ่อดินซึ่งมีความเสี่ยงกับเชื้อก่อโรค ลดการสูญเสียผลผลิตของเกษตรกรจากโรคระบาด อีกทั้งผลผลิตได้ขนาดตามที่ตลาดต้องการ ซึ่งจะยกระดับความสามารถในการแข่งขัน ส่งผลให้อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งของไทยมั่นคงและยั่งยืนตลอดไป

   การศึกษาวิจัยครั้งนี้ว่า ได้นำประชากรกุ้งขาวแวนนาไมมาจาก 4 แหล่ง คือ Shrimp Improvement Systems Hawaii LLC หรือ SIS Hawaii สหรัฐอเมริกา, Guam, Kona Bay และสายพันธุ์ในประเทศไทย โดยประเมินความหลากหลายทางพันธุกรรมด้วยการใช้เครื่องหมายดีเอ็นเอไมโครแซทเทลไลท์ จำนวน 8 ตำแหน่ง และตรวจสอบการปลอดจากเชื้อก่อโรค 8 โรค คือ โรคตัวแดงดวงขาว (WSSV) โรคทอร่าซินโดรม (TSV) โรคหัวเหลือง (YHV) โรคแคระแกร็น (IHHNV) โรคกล้ามเนื้อขาวหรือกล้ามเนื้อตาย (IMNV) โรคไวรอลโคเวร์ทมอร์ทาลิตี้ (CMNV) โรคอีเอชพี (EHP) และโรคเอเอชพีเอ็นดี (AHPND) หรือโรคตายด่วน (EMS-AHPND) ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Vibrio parahaemolyticus ในการปรับปรุงพันธุ์ดำเนินการเลี้ยงกุ้งภายใต้ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) ศึกษาเปรียบเทียบการเจริญเติบโต ควบคู่ไปกับการตรวจวิเคราะห์เปรียบเทียบความหลากหลายทางพันธุกรรมระหว่างประชากรโดยใช้เครื่องหมายไมโครแซทเทลไลท์

   ผลการศึกษาปรากฏว่าประชากรกุ้งขาวที่รวบรวมจากแหล่งภายในประเทศเหมาะสมที่สุดสำหรับนำมาใช้เป็นประชากรพื้นฐาน (base population) ในกระบวนการคัดเลือกปรับปรุงพันธุ์ เพื่อสร้างประชากรพ่อแม่พันธุ์ที่เหมาะสมสำหรับการเพาะเลี้ยงและใช้ประโยชน์ในประเทศไทยอย่างยั่งยืน หลังจากนั้น จึงดำเนินการปรับปรุงพันธุ์ด้วยวิธีการคัดเลือก (selective breeding) จำนวน 6 รอบคัดเลือก หรือ 6 รุ่น/ชั่วอายุ (generations) โดยเป็นการดำเนินการบนพื้นฐานวิธีแบบมาตรฐานเดิม (conventional) ร่วมกับการพัฒนาและประยุกต์ใช้เครื่องหมายโมเลกุล (molecular markers) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และความแม่นยำในกระบวนการคัดเลือกปรับปรุงพันธุ์ จนสามารถพัฒนาสายพันธุ์ได้ประชากรพ่อแม่พันธุ์กุ้งขาวปลอดโรค 2 สายพันธุ์ คือ "เพชรดา 1 " และ "ศรีดา 1" นั่นเอง

   ทั้งนี้ ผลการศึกษาพบว่า สายพันธุ์โตดี "เพชรดา 1" ซึ่งทำการปรับปรุงพันธุ์และดำรงรักษาสายพันธุ์ ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำเพชรบุรี จากผลการเลี้ยงทดสอบการเจริญเติบโตในบ่อผ้าใบภายนอกอาคาร และการเลี้ยงเป็นพ่อแม่พันธุ์ภายในอาคารปรับปรุงพันธุ์ พบว่า การเลี้ยงกุ้งสายพันธุ์ "เพชรดา 1" ทั้ง 2 แบบ แสดงการเจริญเติบโตสูงขึ้นจากรุ่น P0 ถึงรุ่น F6 นอกจากนี้การทดสอบการเจริญเติบโตโดยการเลี้ยงเปรียบเทียบกับพันธุ์กุ้งจากแหล่งอื่น ทั้งในฟาร์มเกษตรกรและในศูนย์ฯ พบว่า สายพันธุ์โตดี "เพชรดา 1" มีค่าเฉลี่ยการเจริญเติบโตสูงกว่าพันธุ์กุ้งแหล่งอื่นที่นำมาเปรียบเทียบ และจากการเลี้ยงกุ้งรุ่น F6 ในบ่อผ้าใบความจุ 25 ลูกบาศก์เมตร พบว่า ผลการเจริญเติบโตกุ้งมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.46 กรัม/วัน น้ำหนักเฉลี่ย 43.76 กรัม/ตัว และมีอัตรารอดตายเฉลี่ย 91%

   ส่วนสายพันธุ์ต้านโรค EMS-AHPND "ศรีดา 1" ทำการปรับปรุงพันธุ์และดำรงรักษาสายพันธุ์ ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำนครศรีธรรมราช จากผลการทดสอบความต้านทานเชื้อก่อโรค EMS-AHPND พบว่า ค่าเฉลี่ยอัตรารอดตาย จาก 37.51±12.24% ในรุ่น P0 เพิ่มสูงขึ้นเป็น 63.59±33.36% ในรุ่น F6 โดยผลการทดสอบความต้านทานเชื้อก่อโรค EMS-AHPND ในรุ่น F4, F5 และ F6 เปรียบเทียบกับกุ้งจากแหล่งพันธุ์อื่น พบว่า กุ้งทุกรุ่นมีอัตรารอดตายเฉลี่ยไม่แตกต่างกับทุกแหล่งพันธุ์ที่นำมาเปรียบเทียบ อย่างไรก็ตาม ผลการทดสอบกุ้งสายพันธุ์ต้านโรค EMS-AHPND "ศรีดา 1" ในรุ่น F6 ได้แสดงถึงความสามารถในการต้านเชื้อก่อโรค EMS-AHPND ของกุ้งกลุ่มคัดเลือกรุ่นล่าสุดว่ามีเพิ่มสูงขึ้นมากกว่ากุ้งกลุ่มควบคุมในรุ่นเดียวกันและกุ้งจากแหล่งพันธุ์เอกชนบางแหล่ง

 

 

กรมประมง เดินแผนเพาะขยายพันธุ์ ‘ปลาบู่’ ทดแทนการจับจากธรรมชาติ

   กรมประมง ให้ความสำคัญกับการศึกษา วิจัย และพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อฟื้นฟูและทดแทนการจับจากธรรมชาติ เนื่องจากบางชนิดมีปริมาณลดลง โดยเฉพาะสัตว์น้ำเศรษฐกิจซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด อีกทั้งมีแผนพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพการเพาะเลี้ยงทั้งด้านการผลิต การแปรรูป รวมถึงเปิดช่องทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ สนับสนุนและสร้างโอกาสทางการแข่งขันให้เกษตรกรไทยสามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน

   หนึ่งในสัตว์น้ำที่กรมประมงสนับสนุนให้หน่วยงานเร่งเพาะขยายพันธุ์ คือ ‘ปลาบู่’ เนื่องจากเป็นสัตว์น้ำที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เป็นที่นิยมของผู้บริโภคและผู้นิยมเลี้ยงปลาสวยงาม ผลผลิตส่วนใหญ่ส่งออกไปยังต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ และมาเลเซีย ทั้งในรูปแบบมีชีวิต และแช่เย็น อีกทั้งความต้องการของปลาบู่จากตลาดต่างประเทศมีเพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้มีราคาสูงขึ้น โดยขนาด 800 กรัม กิโลกรัมละ 370 บาท

   ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดปทุมธานี กรมประมง ประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์ปลาบู่ โดยนำพ่อแม่พันธุ์ขนาด 200-300 กรัม จำนวน 23 คู่ มาเพาะขยายพันธุ์โดยวิธีเลียนแบบธรรมชาติในบ่อซีเมนต์ขนาด 50 ตารางเมตร และใช้กระเบื้องแผ่นเรียบขนาด 30×30 เซนติเมตร ที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ ทำเป็นกระโจมสามเหลี่ยมวางไว้รอบบ่อเพื่อให้แม่ปลาวางไข่ พร้อมรตรวจการวางไข่ทุก 3 วัน จากกระเบื้องทุกแผ่น โดยไข่ปลาใช้เวลาฟักออกเป็นตัวหมดทั้งรังประมาณ 3 วัน จากนั้นอนุบาลลูกปลาด้วยโรติเฟอร์เป็นอาหาร เมื่อลูกปลาอายุ 15 วัน เริ่มให้ไรแดงเป็นอาหาร เมื่อลูกปลาโตขึ้นมีความยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร จึงให้อาหารเม็ดสำเร็จรูป โดยพบว่าอัตราการรอดของลูกปลาอยู่ที่ร้อยละ 77.52

   ในปี 2565 ทางศูนย์ฯ สามารถจำหน่ายลูกพันธุ์ปลาบู่ขนาด 1 นิ้ว ให้เกษตรกรชุดแรกแล้วจำนวน 10,000 ตัว และในปี 2566 มีแผนในการเพิ่มปริมาณผลผลิตให้สามารถจำหน่ายได้ถึง 42,000 ตัว ขยายผลประโยชน์ทางด้านการอนุรักษ์และเชิงพาณิชย์ต่อไป

   กรมประมง มุ่งมั่นที่จะผลักดันให้ปลาบู่เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่มีศักยภาพในการแข่งขันที่สูงขึ้น โดยสนับสนุนการศึกษา วิจัย เพื่อปรับเทคนิคการเพาะขยายพันธุ์ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิตลูกพันธุ์ปลาบู่ให้มีอัตรารอดที่สูงขึ้น พร้อมถ่ายทอดความรู้ในการเพาะเลี้ยงแก่เกษตรกร รวมถึงส่งเสริมช่องทางการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างมูลค่า สร้างรายได้ และสร้างโอกาสให้กับภาคธุรกิจประมงในอนาคต

 

 

กรมประมง เพาะขยายพันธุ์ “ปลากระทิงไฟ” สัตว์น้ำใกล้สูญพันธุ์สำเร็จ!

    สนองพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พร้อมทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพันธุ์ปลากระทิงไฟเพื่อทรงปล่อยเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี 2 เมษายน 2565
   จากพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงที่รับสั่งให้กรมประมงฟื้นฟูและอนุรักษ์พันธุ์ปลาไทยหายากไว้ไม่ให้สูญพันธุ์กรมประมงจึงเริ่มดำเนินโครงการฟื้นฟูทรัพยากรพันธุ์ปลาและสัตว์น้ำจืดของไทยตั้งแต่ปีพ.ศ.2533 จนปัจจุบันสามารถเพาะพันธุ์และปล่อยคืนสู่แหล่งน้ำธรรมชาติได้มากกว่าพันล้านตัว การอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำจืดของไทย ให้เป็นแหล่งโปรตีนอาหารชั้นดี สร้างรายได้สร้างอาชีพ นำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์แห่งทรัพยากรสัตว์น้ำในแหล่งน้ำของไทย

“ปลากระทิงไฟ” เป็นปลาน้ำจืดพื้นเมืองของไทยชนิดหนึ่ง พบได้ตามแหล่งน้ำขนาดใหญ่ในภาคกลางและภาคใต้ และได้รับความนิยมจากผู้เลี้ยงปลาสวยงามทั่วโลกแต่เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปส่งผลให้ปลากระทิงไฟมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ ทำให้ปริมาณปลากระทิงไฟในธรรมชาติลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว กรมประมง จึงได้สั่งการให้ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดสุพรรณบุรี เร่งดำเนินการศึกษาวิจัยเพื่อขยายพันธุ์ปลากระทิงไฟ ภายใต้โครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์สัตว์น้ำประจำถิ่นหายากหรือใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการฟื้นฟูทรัพยากรพันธุ์ปลาและสัตว์น้ำจืดของไทย เพื่อคงความหลากหลายของชนิดพันธุ์ และรักษาความสมดุลในระบบนิเวศ ตลอดจน เพาะขยายพันธุ์และอนุบาลลูกพันธุ์เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรนำไปเลี้ยงประกอบอาชีพ พร้อมส่งเสริมให้มีการเพาะเลี้ยงปลากระทิงไฟเป็นปลาสวยงามเชิงพาณิชย์ต่อไปในอนาคต

   ปลากระทิงไฟ (Fire spiny eel) ชื่อวิทยาศาสตร์ Mastacembelus erythrotaenia มีลักษณะรูปร่างคล้ายงูหรือปลาไหล ลำตัวเรียวยาวแบน มีความยาวประมาณ 15–90 เซนติเมตร ส่วนหัวยาวแหลมตามีขนาดเล็ก มีจะงอยปากล่างยื่นยาวกว่าจะงอยปากบน ลำตัวสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำและมีเส้นหรือจุดสีแดงเรียงตลอดความยาวลำตัว ครีบมีสีแดงสดเชื่อมติดกันเป็นครีบเดียว ขอบครีบเป็นกระดูกแหลมแข็งใช้สำหรับป้องกันตัวจากศัตรูครีบหลังส่วนหน้ามีลักษณะเป็นหยักคล้ายฟันเลื่อยขนาดเล็ก ปลายหางโค้งมน มีนิสัยก้าวร้าวหวงถิ่นอาศัยอยู่ตามไม้น้ำซอกหินหรือซากปรักหักพังใต้น้ำ มักอยู่รวมกันเป็นฝูง และออกหากินในเวลากลางคืน อาหารส่วนใหญ่เป็นปลาหรือสัตว์น้ำขนาดเล็ก

   เมื่อปี 2561 ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดสุพรรณบุรีได้รวบรวมพันธุ์ปลากระทิงไฟจากแหล่งน้ำธรรมชาติบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา สมุทรสงคราม และราชบุรี นำมาเลี้ยงขุนเป็นพ่อแม่พันธุ์
   จากนั้น ทำการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่มีความสมบูรณ์เพศพร้อมที่จะผสมพันธุ์วางไข่มาเพาะพันธุ์ด้วยวิธีฉีดฮอร์โมนกระตุ้น โดยแม่พันธุ์ปลาจะฉีดฮอร์โมนสังเคราะห์ร่วมกับยาเสริมฤทธิ์ 2 เข็ม ระยะเวลาห่างกันครั้งละ 24 ชั่วโมง ส่วนพ่อพันธุ์ปลาฉีดฮอร์โมนสังเคราะห์ร่วมกับยาเสริมฤทธิ์1เข็มพร้อมกับแม่พันธุ์ปลาเข็มที่ 2 โดยหลังจากฉีดฮอร์โมนประมาณ 48 ชั่วโมง จะสามารถรีดไข่จากแม่ปลาได้ไข่ปลากระทิงไฟที่มีลักษณะเป็นไข่จมติด มีสีส้ม เส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 2.7 มิลลิเมตร ประมาณ 1,450 – 2,500 ฟอง
   หลังจากนั้น รีดน้ำเชื้อจากพ่อพันธุ์เพื่อนำมาผสมกับไข่แล้วนำไปฟักในน้ำที่อุณหภูมิ 27 – 28 องศาเซลเซียส ใช้เวลาฟัก 56 – 57 ชั่วโมงจะได้ลูกปลาแรกฟักที่มีความยาวประมาณ 6 – 7 มิลลิเมตร เมื่อลูกปลาอายุ 9 วัน ถุงไข่แดงยุบสามารถเริ่มให้ไรแดงร่อนเอาขนาดเล็กเป็นอาหาร และให้ไรแดงได้เมื่อลูกปลาอายุ 11 วัน หลังจากนั้น เมื่อลูกปลาอายุ 15 – 40 วันสามารถพิจารณาให้ไรแดง ไรน้ำนางฟ้า หรือ กุ้งฝอยขนาดเล็ก โดยพิจารณาตามขนาดของปากลูกปลาได้ตามลำดับ
   ที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดสุพรรณบุรี มีการขับเคลื่อนการดำเนินการเพาะขยายพันธุ์ปลากระทิงไฟอย่างต่อเนื่อง จนสามารถผลิตลูกปลาที่มีความแข็งแรง และมีอัตรารอดสูงได้ประมาณ 1,500 ตัว ในปี 2563 และ 3,000 ตัว ในปี 2564
   นอกจากนี้ทางศูนย์ฯ ยังได้มีการนำลูกปลากระทิงไฟขนาด 5 – 7 เซนติเมตรที่ได้จากการเพาะพันธุ์ชุดแรก จำนวน 1,000 ตัว ปล่อยคืนสู่ธรรมชาติที่เขื่อนกระเสียว อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นครั้งแรก ร่วมกับคนในชุมชนบริเวณรอบเขื่อนเพื่อเป็นการฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ในแหล่งน้ำธรรมชาติ คืนความหลากหลายและสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้ระบบนิเวศ ตลอดจน สร้างการรับรู้ และปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำให้มีไว้ใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืนต่อไป

 

 

กรมประมงเปิดตัว “ปลาการ์ตูนโกลด์ครอสทันเดอร์” หลังซุ่มเพาะสายพันธุ์ใหม่สำเร็จ

    กรมประมงพัฒนาสายพันธุ์ปลาการ์ตูนใช้เทคนิคผสมข้ามระหว่างสายพันธุ์เพาะ“ปลาการ์ตูนโกลด์ครอสทันเดอร์” เล็งกระตุ้นตลาดปลาสวยงามไทย สร้างความหลากหลายด้วยลวดลายแปลกใหม่ให้เหล่านักเลงปลาตู้ได้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

    “ปลาการ์ตูนโกลด์ครอสทันเดอร์” (Gold x thunder maroon) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Premnas biaculeatus  เป็นปลาที่กรมประมงใช้วิธีการปรับปรุงพันธุ์ตามหลักพันธุศาสตร์ปลาสวยงามด้วยการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่าง ปลาการ์ตูนทองโกลด์นักเก็ตกับปลาการ์ตูนแดงทันเดอร์ ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ไม่พบในธรรมชาติแต่เกิดขึ้นจากการปรับปรุงพันธุ์จากโรงเพาะฟัก โดยลูกพันธุ์ปลาที่ได้มีลักษณะลวดลายแปลกใหม่แตกต่างไปจากพ่อและแม่พันธุ์จึงเรียกลักษณะนี้ว่า “โกลด์ครอสทันเดอร์” โดยปลาสายพันธุ์นี้เป็นปลาที่ถูกพัฒนาสายพันธุ์เพื่อกระตุ้นศักยภาพการผลิตปลาสวยงามเท่านั้น กรมประมงไม่มีนโยบายปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติโดยเด็ดขาด

    ศูนย์ศึกษาการพัฒนาและอนุรักษ์พันธุ์ปู ป่าทุ่งทะเลอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดกระบี่ ได้ศึกษาวิจัยการเพาะพันธุ์ปลาการ์ตูนโกลด์ครอสทันเดอร์ ตั้งแต่ปี 2563 และในปีงบประมาณ 2565 โดยได้รับงบประมาณจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เพื่อศึกษาวิจัยตามหลักพันธุศาสตร์จนประสบความสำเร็จ ซึ่งความท้าทายของการเพาะพันธุ์ปลาสายพันธุ์นี้ คือ จำเป็นต้องศึกษาจนทราบรูปแบบการถ่ายทอดลักษณะโกลด์นักเก็ต และลักษณะแดงทันเดอร์ เพื่อให้ได้มาซึ่งปลาสายพันธุ์แท้ หรืออย่างน้อยต้องทราบลักษณะทางพันธุกรรมของปลาแต่ละตัว หลังจากนั้นจึงนำปลาที่มีลักษณะทั้ง 2มาผสมกันเพื่อให้ลักษณะทั้งสองปรากฏอยู่ด้วยกันและถ่ายทอดให้มีการแสดงลักษณะใหม่ออกมา ซึ่งจากการวิจัยพบว่า ลักษณะโกลด์ครอสทันเดอร์ เกิดจากปฏิกิริยาร่วมแบบสะสมของยีนต่างตำแหน่งระหว่างยีนควบคุมลักษณะตัวสีทองจากปลาการ์ตูนทองโกลด์นักเก็ตกับยีนควบคุมลักษณะลายพื้นขาวจากปลาการ์ตูนแดงทันเดอร์ ซึ่งปลานี้ได้เกิดขึ้นจากการผสมข้ามระหว่างสายพันธุ์ให้เกิดลักษณะแปลกใหม่ ไม่ได้เป็นการดัดแปลงพันธุกรรมแต่อย่างใด สำหรับปลาการ์ตูนโกลด์ครอสทันเดอร์ ลักษณะเด่นจะอยู่ที่ลักษณะรูพรุนและความพลิ้วไหวของลายสีขาวบนพื้นลำตัวสีแดงซึ่งแตกต่างไปจากปลาการ์ตูนทั่วไปที่เคยมี โดยที่มาของชื่อเกิดจากการรวมชื่อของสายพันธุ์พ่อและแม่ปลา
          Gold     = gold nugget maroon = ชื่อของปลาการ์ตูนแก้มหนามที่มีลักษณะลายตัวสีทอง
          X        = cross = การผสมข้าม 
          Thunder  = thunder maroon = ชื่อของปลาการ์ตูนแก้มหนามที่มีลักษณะลายพื้นขาว
    ปลาสายพันธุ์นี้มีชีววิทยาเหมือนปลาการ์ตูนแก้มหนามทั่วไป คือ ความยาวสูงสุดประมาณ 17 ซม. ปลาเพศผู้เจริญพันธุ์เมื่อมีอายุประมาณ 6 เดือน ในขณะที่เพศเมียเจริญพันธุ์เมื่อมีอายุประมาณ 18 เดือน โดยมีลักษณะเป็นปลากะเทย นั่นคือ ปลาเพศผู้สามารถเปลี่ยนเพศเป็นเพศเมียได้ แต่เพศเมียไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเพศผู้ได้ อายุขัยเฉลี่ยทั่วไปประมาณ 15 ปี ปัจจุบันปลาดังกล่าวเริ่มได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการและอยู่ระหว่างการวิเคราะห์ต้นทุนเพื่อขอเสนอจำหน่ายกับสำนักงานเงินทุนหมุมเวียนของกรมประมง และมีแผนถ่ายทอดเทคนิควิธีการเพาะเลี้ยงไปยังเกษตรกร เพื่อให้สามารถเพาะเลี้ยงและจำหน่ายสู่ตลาดปลาทะเลสวยงามของไทยให้เกิดความหลากหลายต่อไปในอนาคต

    “ปลาการ์ตูนโกลด์ครอสทันเดอร์” นับเป็นปลาสวยงามอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่ปรับปรุงพันธุ์ขึ้นมาจากโรงเพาะฟักสามารถเลี้ยงร่วมกับปลาทะเลสวยงามอื่น ๆ ในตู้ปลาได้ตามปกติ แต่ไม่ควรเลี้ยงร่วมกับปลาที่เป็นนักล่า และที่สำคัญปลาที่กรมประมงเพาะขยายพันธุ์ได้ทางนักวิชาการจะปรับพฤติกรรมการกินตั้งแต่ขั้นตอนอนุบาลให้สามารถกินอาหารเม็ดสำเร็จรูปได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้อาหารสดจึงสะดวกสำหรับผู้เลี้ยงมากยิ่งขึ้น ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งกระบี่ 141 ม.6 ต.ไสไทย อ.เมือง จ.กระบี่ เบอร์โทรศัพท์ 075-662059-60

 

 

กรมประมงเผยสัตว์น้ำประจำถิ่นใกล้สูญพันธุ์ 39 ชนิด เร่งเพาะขยายพันธุ์ปล่อยคืนธรรมชาติ

กรมประมงเดินหน้าโครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์สัตว์น้ำประจำถิ่น หายากหรือใกล้สูญพันธุ์ตั้งเป้าเพาะขยายพันธุ์สัตว์น้ำรวม 39 ชนิด แบ่งเป็นสัตว์น้ำจืด 36 ชนิด สัตว์ทะเล จำนวน 3 ชนิด ซึ่งสัตว์ทะเล ได้แก่ “หอยหวาน ฉลามกบ และปลิงทะเล” เผยเตรียมพร้อมทีมนักวิชาการและเจ้าหน้าที่เดินหน้าจัดกิจกรรมสนับสนุนตามแผนงานยุทธศาสตร์การเกษตรสร้างมูลค่าภายใต้โครงการบริหารจัดการทรัพยากรประมงปี 2564 หนุนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

ประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่มีความหลากหลายของชนิดปลาและสัตว์น้ำมากเป็นแห่งหนึ่งของโลกแต่ปัจจุบันพบว่าสัตว์น้ำบางชนิดลดจำนวนลงและมีความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศ สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง การรุกรานของสัตว์น้ำต่างถิ่นและการสูญเสียความหลากหลายทางพันธุกรรมของสัตว์น้ำพื้นเมืองจากการปรับปรุงพันธุ์ กรมประมงเร่งพิจารณาแนวหาเพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำมาอย่างต่อเนื่อง

โครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์สัตว์น้ำประจำถิ่นหายากหรือใกล้สูญพันธุ์ เป็นอีกหนึ่งโครงการที่กรมประมงได้จัดตั้งขึ้นมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรพันธุ์ปลาและสัตว์น้ำให้คงความหลากหลายและเพิ่มปริมาณให้มากขึ้นสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ยุทธศาสตรที่ 5 : ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการสร้างความอย่างยั่งยืนบนสังคมสีเขียวและการอนุรักษ์ฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพของทรัพยากรสัตว์น้ำ โดยทางกรมฯ จะดำเนินการผลิตสัตว์น้ำและนำไปปล่อยในแหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อทดแทนปริมาณสัตว์น้ำที่ถูกทำลายจากปัจจัยต่างๆ ตามที่กล่าวข้างต้น สำหรับโครงการฯ มีระยะเวลาในการดำเนินการในปี 2564 ครอบคลุมสัตว์น้ำจืดและทะเล โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ด้านสัตว์น้ำจืด

    กรมประมงดำเนินการเพาะขยายและปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำจืดภายใต้โครงการฯ ตั้งแต่ปี 2561-2563 จำนวน 39 ชนิด รวม 4,412,520 ตัว โดยในครั้งนั้นสามารถเพาะพันธุ์สัตว์น้ำพื้นเมืองครั้งแรกของโลกได้ 2 ชนิด ได้แก่ ปลารากกล้วยจินดา และปลาจิ้มฟันจระเข้ยักษ์ และในส่วนของปี 2564 ได้พิจารณาคัดเลือกสัตว์น้ำจืดจำนวน 36 ชนิดประกอบด้วย
1. ปลาสร้อยลูกกล้วย         2. ปลาเทพา         
3. ปลาเลียหิน                   4. ปลารากกล้วยจินดา         
5. ปลาแปบควาย               6. ปลาแดง                       
7. ปลายี่สกไทย                8. ปลาจาด             
9. ปลาสร้อยเกล็ดถี่          10. ปลาซิวควาย
11. ปลาชะโอน                12. ปลากะโห้    
13. ปลาเวียน                   14. ปลาเทโพ    
15. ปลาม้า                      16. ปลาอีกง                    
17. ปลาแก้มช้ำ                18. ปลาสลาด    
19. ปลาดุกอุย                  20. ปลาดุกด้าน
21. ปลากระทิง                 22.ปลาพรมหัวเหม็น         
23. ปลาแขยงหิน              24. ปลากดเหลือง    
25. ปลาบ้า                       26. ปลาสร้อยนกเขา         
27.ปลานวลจันทร์น้ำจืด     28. ปลาจีด    
29. ปลาตะพัด                  30. ปลาหมอตาล
31. ปลาตุม                      32. ปลาพลวงชมพู           
33. ปลาร่องไม้ตับ             34. ปลากระดี่มุก    
35. กบภูเขา                     36.ปลาหลด




    ปัจจุบันดำเนินการปล่อยสัตว์น้ำจืดฯ เรียบร้อยแล้วจำนวน 11 ชนิด ได้แก่ ปลาจีด ปลาตะพัดปลาสร้อยลูกกล้วย ปลาแปปควาย ปลาแดง ปลาจาด ปลายี่สกไทย ปลาเวียน ปลาดุกอุย ปลาร่องไม้ตับและปลาชะโอน รวมจำนวนทั้งสิ้น 397,103 ตัว

 

ด้านสัตว์ทะเล

    ด้านการอนุรักษ์สัตว์ทะเลกรมประมงได้ดำเนินงานตามแผนงานยุทธศาสตร์การเกษตรสร้างมูลค่า โครงการบริหารจัดการทรัพยากรประมง กิจกรรมฟื้นฟูและอนุรักษ์สัตว์น้ำหายากใกล้สูญพันธุ์ เพื่อเสริมสร้างความอุดมสมบูรณ์และคงความหลากหลายทางชีวภาพของทรัพยากรสัตว์ทะเลในพื้นที่ที่เหมาะสมโดยเฉพาะสัตว์น้ำหายากหรือใกล้สูญพันธุ์ สำหรับปี 2564 กรมประมงได้คัดเลือกสัตว์ทะเล จำนวน 3 ชนิด ได้แก่  ฉลามกบ หอยหวาน ปลิงกาหมาด เข้าร่วมโครงการ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 
    1. ฉลามกบ : ฉลามทำหน้าที่สำคัญในห่วงโซ่อาหารเพราะฉลามทำหน้าที่กำจัดปลาที่เชื่องช้า ป่วย หรือใกล้หมดอายุตามวัย รักษาสมดุลประชากรปลากินพืชให้อยู่ในระดับพอเหมาะ สำหรับประเทศไทยไม่มีการทำการประมงฉลามโดยตรง ส่วนใหญ่ฉลามเป็นสัตว์น้ำพลอยจับได้ (by – catch) อีกทั้งฉลามยังถูกนำมาปรุงเป็นอาหารโดยเฉพาะเมนูซุปหูฉลามส่งผลให้ปริมาณฉลามในธรรมชาติลดจำนวนน้อยลง กรมประมงได้จัดทำแผนปฏิบัติการแห่งชาติเพื่อการอนุรักษ์และบริหารจัดการฉลามของประเทศไทย (National Plan of Action for Conservation and Management of Shark, Thailand: NPOA – Sharks) (แผน 5 ปี 2563 – 2567) ภายใต้กรอบแผนปฏิบัติการสากลเพื่อการอนุรักษ์และบริหารจัดการฉลาม (International Plan of Action for the Conservation and Management of Shark: IPOA – Sharks) โดยจะศึกษาและจัดทำฐานข้อมูลชีววิทยา นิเวศวิทยา การใช้ประโยชน์ฉลามในน่านน้ำไทย การประเมินสถานภาพและภัยคุกคามที่เกิดจากการประมงและสิ่งแวดล้อมที่มีต่อฉลามพร้อมกำหนดมาตรการอนุรักษ์ควบคุมการทำการประมงและการค้าฉลามที่สอดคล้องกับกฎระเบียบ ข้อกำหนด และพันธกรณีระหว่างประเทศ ตลอดจนการพัฒนาและสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการ และการอนุรักษ์ทรัพยากรฉลาม


       สำหรับฉลามกบจากรายงานพบว่ามีจำนวนลดน้อยลงสอดคล้องกับรายงานบัญชีแดงขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ระบุฐานะสถานภาพของปลาฉลามกบไว้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกือบอยู่ในข่ายเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ หมายถึง ระดับความเสี่ยงขั้นอันตรายต่อการสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้ การประเมินจะดูจากสิ่งมีชีวิตที่ถูกคุกคามหรือสิ่งมีชีวิตที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ในปี 2564 กรมประมงจึงได้คัดเลือกฉลามกบเข้ารวมโครงกาฯ โดยมีแผนศึกษาวิจัยพร้อมปล่อยฉลามกบที่ได้จากการเพาะขยายพันธุ์ในเขตพื้นที่ปะการังเทียมของกรมประมงจำนวน 100 ตัว ปัจจุบันดำเนินการปล่อยครบจำนวนเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา

     2. หอยหวาน : หอยหวานเป็นทรัพยากรสัตว์น้ำที่พบแพร่กระจายอยู่ทั่วไปทั้งอ่าวไทยและอันดามัน เช่น ตราด ระยอง จันทบุรี ชลบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช มีราคาขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 500-650 บาท/กก. สำหรับปี 2564 กรมประมงร่วมกับกลุ่มประมงเรือเล็กพื้นบ้านหนองแฟบ ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง จัดโครงการหอยหวานคืนถิ่นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมีเป้าหมายปล่อยหอยหวานจำนวน 50,000 ตัว อีกทั้งยังมีการกำหนดเขตพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์หอยหวานขึ้นโดยเป็นความตกลงร่วมกันของสมาชิกภายในชุมชน และมีการจัดตั้งธนาคารสัตว์น้ำ เพื่อให้ทรัพยากรหอยหวานอยู่คู่กับชุมชนในพื้นที่จังหวัดระยองตลอดไป

    3. ปลิงกาหมาด เป็นหนึ่งในสัตว์ทะเลที่เสี่ยงจะสูญพันธุ์ เนื่องจากได้รับความนิยมในการจับมาเป็นอาหารและยารักษาโรค จึงถูกจับขึ้นมาใช้ประโยชน์เป็นจำนวนมากจนในธรรมชาติมีปริมาณลดจำนวนลงอีกทั้งปลิงทะเล จะขยายพันธุ์ช้ายิ่งเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงทะเลสตูล กรมประมง จึงได้ทดลองเพาะขยายพันธุ์จนประสบความสำเร็จเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวของประเทศไทยและจากความสำเร็จในการเพาะขยายพันธุ์ปลิงทะเลของทางศูนย์วิจัยพัฒนาประมง ฯ ในปี 2563 สามารถปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติ ได้จำนวน 1,200 ตัวขนาด 8-10 ซม.ตามแนวปะการังน้ำตื้นชายฝั่ง อ.ละงู และเกาะสาหร่าย อ.เมือง จ.สตูล สำหรับในปีงบประมาณ 2564 ได้เพาะขยายพันธุ์พร้อมปล่อยลูกปลิงขนาด 1-2 ซม. จำนวน 2,800 ตัว ขนาด 8-10 ซม. 200 ตัว โดยคาดว่าจะเริ่มปล่อยได้รอบแรกประมาณเดือน มิถุนายน 2564 ที่บริเวณเกาะสาหร่าย จ.สตูล

โครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์สัตว์น้ำฯ กรมประมงได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องโดยในแต่ละปีจะคัดเลือกสัตว์น้ำจืดและทะเลที่มีความเสี่ยงหายากหรือใกล้สูญพันธุ์เข้าร่วมโครงการฯ โดยนำมาศึกษาวิจัยเพาะขยายพันธุ์ เพื่อสร้างความสมดุลในกับระบบนิเวศของแหล่งน้ำธรรมชาติ สำหรับประชาชนผู้สนใจหากต้องการศึกษาพฤติกรรมการดำรงชีวิตสัตว์น้ำประจำถิ่น สัตว์น้ำหายากหรือใกล้สูญพันธุ์ สามารถชมได้ที่ สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำของกรมประมงทั่วประเทศ โดยได้รวบรวมและจัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำมีชีวิตทั้งสัตว์น้ำจืดและทะเล ตลอดจนความรู้เกี่ยวกับอาชีพการทำการประมง เรือประมง และเครื่องมือประมงชนิดต่างๆ จากในส่วนนิทรรศการและพิพิธภัณฑ์ไว้บริการให้กับพี่น้องประชาชนตลอดจนเยาวชนเพื่อสร้างสร้างการรับรู้ให้เกิดความรักและหวงแหนในทรัพยากรสัตว์น้ำของไทย 

 

 

กรมประมง สามารถเพาะพันธุ์ปลาสำเร็จอีกหนึ่งชนิด คือ “ปลาปล้องทองปรีดี”

    ซึ่งถือว่าเป็นปลาหายาก เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยเสื่อมโทรมลง อีกทั้งยังถูกจับขึ้นมาจำหน่ายเพื่อเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม ทำให้ปลาปล้องทองปรีดีในธรรมชาติลดลงเรื่อยๆ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเร่งเพาะขยายพันธุ์ เพื่อทำการฟื้นฟูและอนุรักษ์ให้ปลาชนิดนี้ยังคงอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติ และในอนาคตสามารถต่อยอดการเพาะเลี้ยงเพื่อเป็นปลาสวยงาม สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้กับชุมชนด้วย การวิจัยนี้ใช้เวลาศึกษาทดลองกว่า 12 ปี  

ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด เขต 1 (เชียงใหม่) หัวหน้าคณะผู้วิจัย กล่าวว่า ปลาปล้องทองปรีดี เป็นปลาที่อยู่ในวงศ์ปลาค้อ มีขนาดเล็ก ความยาวประมาณ 2-3 นิ้ว สีสันสวยงาม ลำตัวมีลักษณะคล้ายปล้องอ้อยเรียวยาวสีน้ำตาลอ่อนอมเทาหรือเหลืองอ่อน และมีลายขวางสีคล้ำลงมาเกือบถึงท้อง พบในประเทศแถบเอเชีย สำหรับประเทศไทยพบบริเวณลำธารภูเขาในเขตพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม อำเภอเชียงดาว และอำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งทางศูนย์ฯ ได้สำรวจชนิดพันธุ์สัตว์น้ำตามโครงการพระราชดำริทุกปีอย่างต่อเนื่อง และพบว่าปลาปล้องทองปรีดีในธรรมชาติหายากและมีจำนวนลดน้อยลง จึงได้พยายามรวบรวมพ่อแม่พันธุ์จากธรรมชาติ เพื่อทำการศึกษาทดลองเพาะขยายพันธุ์ตั้งแต่ปี 2549 แต่ระยะแรกยังประสบปัญหา เนื่องจากปลาไม่สามารถปรับตัวให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมของการทดลองได้ 

   ปลาปล้องทองปรีดี (Mini dragon loach) ชื่อวิทยาศาสตร์ Schistura pridii เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ่ในวงศ์ปลาค้อ (Balitoridae) มีรูปร่างเรียวยาวคล้ายปลาไหล แต่ทว่าลำตัวแบนข้าง หัวทู่สั้น ตาเล็ก มีหนวด 2 คู่อยู่เหนือปาก และอีก 2 คู่อยู่ใต้ปาก ลำตัวมีสีเหลืองสลับดำเป็นปล้องๆ ดูแลมีขนาดเล็กความยาวประมาณ 2-3 นิ้ว สีสันสวยงาม ลำตัวมีลักษณะคล้ายปล้องอ้อยเรียวยาวสีน้ำตาลอ่อนอมเทาหรือเหลืองอ่อน และมีลายขวางสีคล้ำลงมาเกือบถึงท้อง พบได้ในประเทศแถบเอเชียสำหรับประเทศไทยพบบริเวณลำธารภูเขาในเขตพื้นที่ อ.แม่แจ่ม อ.เชียงดาว และ อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่ ออกหากินในเวลากลางคืน เคลื่อนไหวได้ว่องไวมาก โดยกินอาหารได้แก่ แมลงน้ำ หรือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในลำธารเหมือนปลาชนิดอื่นๆ ในวงศ์และสกุลเดียวกัน

ทั้งนี้ ในปี 2560 ทางศูนย์ฯ นำไปทดลองเพาะขยายพันธุ์ที่สถานีวิจัยประมงน้ำจืดพื้นที่สูงอินทนนท์ ซึ่งมีสภาพแวดล้อมและอากาศใกล้เคียงกับแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติมากที่สุด โดยคัดเลือกปลาที่มีน้ำเชื้อและไข่สมบูรณ์มาทดลองเพาะพันธุ์ด้วยวิธีฉีดกระตุ้นฮอร์โมนสังเคราะห์ แล้วปล่อยลงกล่องทดลองให้พ่อแม่ปลาผสมพันธุ์แบบธรรมชาติที่อุณหภูมิน้ำ 15.3-16.8 องศาเซลเซียส ผลปรากฏว่า ปลาตกไข่มากถึงร้อยละ 70 และสามารถฟักออกเป็นตัวได้สำเร็จ แต่อัตราการฟักตัวยังค่อนข้างต่ำมากเพียงร้อยละ 37.13 เท่านั้น รวมถึงการอนุบาลลูกปลายังเป็นปัจจัยสำคัญทำให้อัตราการรอดยังต่ำ ซึ่งได้ผลผลิตเพียง 200 ตัวเท่านั้น จึงต้องพัฒนาขยายผลการศึกษาวิจัยในระยะต่อไป เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มากกว่านี้

ชี้ 12 ปี ประสบความสำเร็จ

   โดยคัดเลือกปลาที่มีน้ำเชื้อและไข่สมบูรณ์มาทดลองเพาะพันธุ์ด้วยวิธีฉีดกระตุ้นฮอร์โมนสังเคราะห์ แล้วปล่อยลงกล่องทดลองให้พ่อแม่ปลาผสมพันธุ์แบบธรรมชาติที่อุณหภูมิน้ำ 15.3–16.8 องศาเซลเซียส ปรากฏว่า ปลามีการตกไข่มากถึงร้อยละ 70 และสามารถฟักออกเป็นตัวได้สำเร็จ แต่อัตราการฟักตัวยังค่อนข้างต่ำอยู่มากเพียงร้อยละ 37.13 เท่านั้น รวมถึงการอนุบาลลูกปลาก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราการรอดยังต่ำอยู่ ได้ผลผลิตเพียง 200 ตัวเท่านั้น จึงต้องมีการพัฒนาขยายผลการศึกษาวิจัยในระยะต่อไป

   ทั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จในเพาะพันธุ์ปลาปล้องทองปรีดีของไทย โดยใช้ระยะเวลาในการศึกษาทดลองกว่า 12 ปี ซึ่งกรมประมงคาดหวังว่าจะพัฒนางานวิจัยชิ้นนี้
เพื่อขยายผลไปสู่การเพิ่มปริมาณประชากรปลาในธรรมชาติให้มีจำนวนมากขึ้น ไม่สูญพันธุ์ไปจากประเทศไทย และขยายผลไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์เพื่อปั้นเป็นปลาสวยงามทางเศรษฐกิจด้วย

  •   หน่วยงาน: สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี
  •   ประกาศวันที่: 2022-04-19
  •   ประกาศสิ้นสุดเเล้วเมื่อวันที่: 2022-04-19 
  •   Hits
  • ภารกิจประจำวันที่ 10 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  ภารกิจประจำวันที่ 10 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี   จำนวนผู้อ่าน 52  ภารกิจประจำวันที่ 27 มกราคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี ภารกิจประจำวันที่ 27 มกราคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  จำนวนผู้อ่าน 29 ภารกิจประจำวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี ภารกิจประจำวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  จำนวนผู้อ่าน 28 ภารกิจประจำวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี ภารกิจประจำวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  จำนวนผู้อ่าน 26 ภารกิจประจำวันที่ 31 มกราคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี ภารกิจประจำวันที่ 31 มกราคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  จำนวนผู้อ่าน 25 ภารกิจประจำวันที่ 8 เมษายน 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี ภารกิจประจำวันที่ 8 เมษายน 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  จำนวนผู้อ่าน 22 ภารกิจประจำวันที่ 25 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี   ภารกิจประจำวันที่ 25 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี   จำนวนผู้อ่าน 21 ภารกิจประจำวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี ภารกิจประจำวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  จำนวนผู้อ่าน 21 ภารกิจประจำวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี ภารกิจประจำวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  จำนวนผู้อ่าน 20 ภารกิจประจำวันที่ 5 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี ภารกิจประจำวันที่ 5 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  จำนวนผู้อ่าน 19 ภารกิจประจำวันที่ 7 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี ภารกิจประจำวันที่ 7 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  จำนวนผู้อ่าน 19 ภารกิจประจำวันที่ 16 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี     ภารกิจประจำวันที่ 16 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี   จำนวนผู้อ่าน 18 ภารกิจประจำวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  ภารกิจประจำวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี   จำนวนผู้อ่าน 18 ภารกิจประจำวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  ภารกิจประจำวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี   จำนวนผู้อ่าน 18 ภารกิจประจำวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี ภารกิจประจำวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  จำนวนผู้อ่าน 18

    สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ.2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี

    รายละเอียด สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี SARABURI PROVINCIAL FISHERIES OFFICE ที่ตั้ง : 123 หมู่ 6 ศาลากลางจังหวัดสระบุรี สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี (ชั้น 2)            ตำบลตะกุด อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี 18000           123 Moo 6, Saraburi Provincial Hall, Saraburi Provincial Fisheries Office (2nd floor)            Takud Sub-district, Mueang Saraburi District, Saraburi, 18000 การเดินทางสาธารณะ : รถสองแถวสาย 9 (10 บาทตลอดสาย)                                       โดยจุดจอดรถสองแถวเริ่มต้นที่ บขส.สระบุรี สิ้นสุดที่ ศูนย์ราชการจังหวัดสระบุรี  Social Network     : fpo_saraburi@fisheries.go.th  LINEID : fposaraburi QR Code Line    ผู้ดูแลเว็บไซต์ : นางสาวพรศิริ โพธาราม   เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล  email  fpo_saraburi@fisheries.go.th  โทรศัพท์ 0 3634 0742  FAX 0 3634 0742  แฟนเพจ แฟนเพจ
    CreativeCommons Valid CSS! Explanation of WCAG 2.1 Level Triple-AA Conformance SSL Labs ipv6