แจ้งเตือนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ หมั่นสังเกตและดูแลสัตว์น้ำ เนื่องจากสภาพอากาศปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลง ในสภาวะต่างๆ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพปลาที่เลี้ยงโดยตรง

 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี


แจ้งเตือนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ หมั่นสังเกตและดูแลสัตว์น้ำ เนื่องจากสภาพอากาศปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลง ในสภาวะต่างๆ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพปลาที่เลี้ยงโดยตรง 


ส่ง email แชร์ X ส่ง Line แชร์ Facebook
ฟังเสียงบรรยาย
ฟังเสียงบรรยาย

HOT แจ้งเตือนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ หมั่นสังเกตและดูแลสัตว์น้ำ เนื่องจากสภาพอากาศปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลง ในสภาวะต่างๆ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพปลาที่เลี้ยงโดยตรง..คลิก

 

 

แผนเตรียมรับสถานการณ์ภัยแล้ง (ด้านประมง) และการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์เอลนีโญ

 

 

เอลนีโญ (El Nino) กระแสลมมีกำลังอ่อนเปลี่ยนทิศทาง พัดจากด้านตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกไปด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก > กระแสน้ำอุ่นไหลไปยังทวีปอเมริกาใต้แทน
    ปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Nino) เราอาจต้องเผชิญกับ สถานการณ์ภัยแล้ง ส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นกว่าค่าปกติ 0.5 องศาเซียลเซียส ขึ้นไป

ลานีญา (La Nina) กระแสลมรุนแรงมากกว่าปกติ พัดจากด้านตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิก มายังด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกตามเดิม > กระแสน้ำอุ่นไหลมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น
    ปรากฏการณ์ลานีญา (La Nina) เราอาจต้องเผชิญกับ ฝนตกหนักในพื้นที่น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งในหลายพื้นที่

จึงอยากประชาสัมพันธ์ให้ติดตามข่าวสารพยากรณ์อากาศและสถานการณ์น้ำจากทางราชการอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นเพื่อป้องกันผลผลิตก่อนส่งออกสู่ตลาด และสิ่งสำคัญคือ ปรับปรุงข้อมูลทะเบียนเกษตรกร (ด้านประมง) รวมถึงตรวจสอบการมีอายุของทะเบียนให้เป็นปัจจุบัน

 

 

กรมประมง แนะนำเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ควรปฏิบัติดังนี้ 

  
  

 กรมประมง...เตือนเกษตรกรเตรียมรับมือ “ภัยแล้ง”  หวั่น!! อาจมีแนวโน้มขาดแคลนน้ำเสี่ยงกระทบต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

          เสี่ยงกระทบต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ แนะเกษตรกรควรเฝ้าระวัง หมั่นดูแลสัตว์น้ำอย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตามคำแนะนำของกรมประมงอย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นการป้องกันและบรรเทาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น กรมประมงจึงได้จัดทำแผนเตรียมรับสถานการณ์ในช่วงฤดูแล้ง ไว้ 3 ระยะ คือ 
              1. การเตรียมรับสถานการณ์ก่อนเกิดภัย
              2. การให้ความช่วยเหลือขณะเกิดภัย และ 
              3. การให้ความช่วยเหลือหลังเกิดภัย

 

การเลี้ยงสัตว์น้ำในบ่อดิน ควรปฏิบัติดังนี้
           1. ควรปรับลดขนาดการผลิต หรืองดเว้นการเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยทำการตากบ่อและตกแต่งบ่อเลี้ยงในช่วงฤดูแล้งแทน เพื่อเตรียมไว้เลี้ยงสัตว์น้ำในรอบต่อไป
           2. หากจำเป็นต้องทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในหน้าแล้ง ควรคัดเลือกพันธุ์สัตว์น้ำที่มีความแข็งแรงจากฟาร์มผู้ผลิตที่ได้มาตรฐานและเชื่อถือได้
           3. ควบคุมการใช้น้ำและรักษาปริมาณน้ำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำให้มีการสูญเสียน้อยที่สุด ดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซมคันบ่อเพื่อป้องกันการรั่วซึมของน้ำ และจัดทำร่มเงาให้กับสัตว์น้ำในบ่อเลี้ยง
           4. จัดเตรียมแหล่งน้ำสำรองไว้ใช้เพิ่มเติม
           5. ควรปล่อยสัตว์น้ำลงเลี้ยงในปริมาณหนาแน่นน้อยกว่าปกติ และควรปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำที่มีขนาดใหญ่ เพื่อลดระยะเวลาการเลี้ยงให้น้อยลง
           6. เลือกใช้อาหารสัตว์น้ำที่มีคุณภาพดี และลดปริมาณการให้อาหารสัตว์น้ำลง โดยเฉพาะอาหารสดเพื่อป้องกันปัญหาน้ำเน่าเสีย
           7. ทยอยจับสัตว์น้ำที่ได้ขนาดขึ้นจำหน่ายหรือบริโภค เพื่อลดปริมาณสัตว์น้ำภายในบ่อ
           8. ควรงดเว้นการขนถ่ายสัตว์น้ำ ถ้าจำเป็นต้องระมัดระวังให้มาก เนื่องจากมีผลกระทบกับการกินอาหารและการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำโดยตรง
           9. หมั่นตรวจสุขภาพสัตว์น้ำอย่างสม่ำเสมอ เมื่อพบสิ่งผิดปกติควรรีบหาสาเหตุและแก้ไขทันที กรณีมีสัตว์น้ำป่วยตายควรกำจัดโดยการฝังกลบหรือเผาเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค

การเลี้ยงในกระชัง ควรปฏิบัติดังนี้
           1. ควรปรับลดขนาดการผลิต หรืองดเว้นการเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยทำความสะอาดและซ่อมแซมกระชังในช่วงฤดูแล้งแทน เพื่อเตรียมไว้เลี้ยงสัตว์น้ำในรอบต่อไป
           2.หากจำเป็นต้องเลี้ยงสัตว์น้ำควรคัดเลือกพันธุ์สัตว์น้ำที่มีความแข็งแรง จากฟาร์มผู้ผลิตที่ได้มาตรฐานและเชื่อถือได้
           3. ควรเลือกแหล่งน้ำที่ตั้งกระชังที่มีระดับความลึกเพียงพอ เมื่อตั้งกระชังแล้วพื้นกระชังควรสูงจากพื้นน้ำไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร เพื่อให้น้ำถ่ายเทได้สะดวกตลอดเวลา และไม่วางชิดกันจนหนาแน่นมากเกินไป เพราะจะไปขัดขวางการไหลของกระแส4. ควรปล่อยสัตว์น้ำลงเลี้ยงในปริมาณหนาแน่นน้อยกว่าปกติ และควรปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำที่มีขนาดใหญ่เพื่อลดระยะเวลาการเลี้ยงให้น้อยลง ก่อนปล่อยสัตว์น้ำลงเลี้ยงในกระชัง ควรปรับสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะคุณสมบัติของน้ำในภาชนะลำเลียงสัตว์น้ำ ควรมีคุณสมบัติใกล้เคียงกันกับน้ำที่ต้องการปล่อยสัตว์น้ำ เช่น อุณหภูมิ ค่าความเป็นกรดด่าง เป็นต้น
           5. ควรเลือกใช้อาหารสัตว์น้ำที่มีคุณภาพดีและให้ในปริมาณที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นอาหารสดเพื่อป้องกันน้ำเน่าเสีย
           6. ควรเพิ่มความสนใจ สังเกตอาการต่าง ๆ ของสัตว์น้ำที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด หากมีอาการผิดปกติจะได้แก้ไขและให้การรักษาได้ทันท่วงที
           7. ควรทำความสะอาดกระชังสม่ำเสมอ เพื่อกำจัดตะกอนและเศษอาหาร ซึ่งเป็นการตัดวงจรชีวิตปรสิตและเชื้อโรค นอกจากนี้ช่วยให้กระแสน้ำไหลผ่านกระชังได้ดี มีผลต่อการเจริญเติบโตและสุขภาพสัตว์น้ำ
           8. ควรงดเว้นการขนถ่ายสัตว์น้ำ ถ้าจำเป็นต้องระมัดระวังให้มากเนื่องจากจะมีผลกระทบกับการกินอาหารและการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำโดยตรง
           9. จับสัตว์น้ำที่ได้ขนาดขึ้นมาจำหน่ายหรือบริโภค เพื่อลดปริมาณสัตว์น้ำภายในกระชัง
          10. ควรหมั่นตรวจสุขภาพสัตว์น้ำอย่างสม่ำเสมอ เมื่อพบสิ่งผิดปกติ ให้รีบหาสาเหตุและแก้ไขได้ทันที

ในขณะเดียวกันควรแจ้งให้ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงทราบ เพื่อที่จะได้หามาตรการป้องกันการแพร่กระจายโรค กรณีที่มีสัตว์น้ำป่วยตายควรกำจัดโดยการฝังหรือเผา ไม่ควรทิ้งสัตว์น้ำป่วยในบริเวณแม่น้ำที่เลี้ยงเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการแพร่กระจายเชื้อโรคทำให้การระบาดของโรคเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว

สำหรับโรคสัตว์น้ำที่ควรเฝ้าระวังในฤดูแล้ง ได้แก่
          1. โรคที่เกิดจากปรสิต ได้แก่ เห็บระฆัง ปลิงใส เห็บปลา หมัดปลา เป็นต้น โดยสัตว์น้ำที่เป็นโรคที่เกิดจากปรสิตจะมีลักษณะอาการว่ายน้ำผิดปกติ ว่ายน้ำถูตามข้างบ่อ ลอยตัวที่ผิวน้ำ หายใจถี่เร็วกว่าปกติ กินอาหารน้อยลง ผอม ขับเมือกมาก มีจุดแดงหรือมีแผลถลอกตามผิวลำตัว โดยโรคจากปรสิตสามารถควบคุมได้ โดยการตัดวงจรชีวิตของปรสิต เช่น รักษาความสะอาด กำจัดตะกอน และเศษอาหาร ควบคู่กับการควบคุมคุณภาพน้ำ และการใช้สารเคมี
          2. โรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ โรคตัวด่าง โรคแผลตามลำตัว โรคสเตรปโตคอคคัส เป็นต้น ซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย ที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำทั่วไป โดยจะเข้าทำอันตรายต่อสัตว์น้ำเมื่อสัตว์น้ำอ่อนแอ
               2.1 โรคตัวด่าง มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย Flavobacteriumcolumnare ลักษณะอาการที่พบคือ ผิวหนังบวมแดง แผลด่างตามลำตัวและเหลือก มักเกิดกับปลาในช่วงย้ายบ่อ ระหว่างการลำเลียง หรือการขนส่งปลา และช่วงที่อุณหภูมิในรอบวันมีการเปลี่ยนแปลงมาก ถ้าเกิดปลาขนาดเล็กอาจตายภายใน 1 – 2 วัน แนวทางการป้องกันรักษา คือ ปรับปรุงคุณภาพให้เหมาะสม ลดปริมาณสารอินทรีย์ ภายในบ่อเลี้ยง ลดความเครียดระหว่างการขนส่งโดยใช้เกลือแกง 1 กิโลกรัม ต่อน้ำ 1 ตัน (0.1 เปอร์เซ็นต์) และการรักษาใช้ด่างทับทิม 1 – 3 กรัมต่อน้ำ 1 ตัน แช่นาน 24 ชั่วโมง หรือฟอร์มาลีน 40 – 50 มิลลิเมตร ต่อน้ำ 1 ตัน แช่นาน 24 ชั่วโมง หรือใช้ยาต้านจุลชีพตามคำแนะนำของสัตวแพทย์
              2.2 โรคแผลตามลำตัว มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย Aeromonassp. หรือ Pseudomonas sp. ลักษณะอาการที่พบ คือ ตกเลือดบริเวณลำตัว/ครีบ ผิวตัวเปื่อย ครีบกร่อน เกล็ดตั้ง ท้องบวม มักพบในบ่อที่มีการจัดการเลี้ยงที่ไม่เหมาะสม เลี้ยงสัตว์น้ำที่ความหนาแน่นสูง แนวทางป้องกันรักษา คือ จัดการการเลี้ยงให้เหมาะสม ลดอัตราความหนาแน่นสัตว์น้ำ หรือใช้ยาต้านจุลชีพในการรักษาตามคำแนะนำของสัตวแพทย์
             2.3 โรคสเตรปโตคอคคัส มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย Streptococcus agalactiae ลักษณะอาการที่พบ คือ ว่ายน้ำควงสว่าน ตาโปน ตาขุ่น ตกเลือดตามลำตัว หากไม่ได้รับการรักษาจะมีอัตราการตาย 50 – 100 เปอร์เซ็นต์ โรคดังกล่าวจะมีความรุนแรงในช่วงฤดูร้อนโดยเฉพาะในปลานิล เกิดกับปลาได้ทุกขนาด แนวทางในการป้องกันรักษา คือ จัดการการเลี้ยงให้เหมาะสม หรือใช้ยาต้านจุลชีพในการรักษาตามคำแนะนำของสัตวแพทย์

 

ข้อควรปฏิบัติในการเลี้ยงสัตว์น้ำในช่วงฤดูแล้ง

           กรณีที่เลี้ยงสัตว์น้ำในบ่อดิน | กรณีที่เลี้ยงสัตว์น้ำในกระชัง | การเฝ้าระวังโรคสัตว์น้ำในช่วงฤดูแล้ง

   

 

ปัจจัยความเครียด ที่มีผลต่อสัตว์น้ำในฤดูร้อน

            "ฤดูร้อน" เป็นช่วงที่สร้างความไม่สบายใจให้กับผู้เลี้ยงสัตว์น้ำอย่างมาก เนื่องจากมันเกิดความเสียหายขึ้นกับสัตว์น้ำได้ง่ายและรุนแรงด้วยปัจจัยจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นในช่วงกลางวัน ขาดแคลนน้ำเปลี่ยนถ่าย น้ำในแม่น้ำไม่มีการไหลเวียน และโรคระบาดต่างๆ ดังนั้นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ในฤดูร้อนนั้นสร้างผลกระทบกับสัตว์น้ำของเราอย่างไรบ้าง....ไปดูกันค่ะ

                    #ผลกระทบของฤดูร้อน/สัตว์น้ำ
                          -> อุณหภูมิน้ำสูงขึ้น
                          -> ปริมาณน้ำลดน้อยลง
                          -> เกิดโรคระบาดได้ง่าย
                          -> ออกซิเจนในน้ำลดต่ำลง
                          -> พืชน้ำเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว
                  #สิ่งที่ควรเฝ้าระวังในฤดูร้อน
                         -> พฤติกรรมของสัตว์น้ำ
                         -> คุณภาพน้ำ
                         -> ปริมาณอาหารที่ให้ เพื่อควบคุมการใช้อาหาร
                         -> ระบบช่วยเหลือต่างๆ เช่น ระบบไฟฟ้า เครื่องสำรองไฟ เครื่องสูบน้ำ เครื่องเติมอากาศ เครื่องให้อากาศ ควรตรวจสอบให้พร้อมใช้งาน และมีอย่างเพียงพอ เพื่อเป็นสิ่งช่วยเหลือเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉินขึ้น
                 #แนวทางการจัดการในฤดูร้อน
                        -> ควบคุมปริมาณอาหาร
                        -> เติมอากาศอย่างเพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากเมื่อสัตว์น้ำเครียดจะต้องการอ๊อกซิเจนมากขึ้น ควบคุมปริมาณแพลงค์ตอนพืชได้จากการทำให้น้ำหมุนเวียน #ช่วงเวลาที่ควรให้อากาศคือช่วยบ่ายที่ร้อนจัด ช่วงหลังสี่ทุ่มจนถึงรุ่งเช้าของวันถัดไป และช่วงที่ฟ้ามืดครึ้ม
                        -> เตรียมแหล่งน้ำสำรอง เนื่องจากน้ำเป็นหัวใจหลักของการเลี้ยงสัตว์น้ำ
                        -> การจัดการของเสีย และการจัดการคุณภาพน้ำให้เหมาะสม ในภาวะที่น้ำในการเลี้ยงลดลงแต่ของเสียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น การจัดการของเสียให้ลดลงหรือเป็นพิษน้อยลงมีความสำคัญมาก          

 

แล้งนี้ เลี้ยงสัตว์น้ำอย่างไรให้รอด (เริ่มต้น...กับการเป็นนักวางแผน)

            

 

การเตรียมรับมือ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูแล้ง

            

 

 

 

กรมประมงเตือน...!! เกษตรกรเฝ้าระวัง โรคสัตว์น้ำในช่วงฤดูหนาว
            อากาศของไทยได้เปลี่ยนแปลงจากฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคอีสานที่มีอากาศหนาวเย็นลง แต่ในบางพื้นที่ยังมีฝนตกสลับอากาศร้อน ทำให้อุณหภูมิของน้ำและออกซิเจนในน้ำเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้สัตว์น้ำทั้งที่อยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติ และที่เกษตรกรเลี้ยงในบ่อดินรวมถึงในกระชัง ปรับตัวไม่ทัน เกิดความเครียด อ่อนแอ ป่วย และเสี่ยงที่จะเกิดโรคได้ง่าย เนื่องจากเชื้อโรคบางชนิดสามารถเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้ดีในช่วงหน้าหนาว อาจทำให้สัตว์น้ำตายอย่างฉับพลัน กรมประมงจึงขอแจ้งเตือนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้เฝ้าระวัง และหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น กรมประมง ได้มีการจัดทำแผนเตรียมรับสถานการณ์ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้กับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ไว้ 3 ระยะ คือ
             1. การเตรียมรับสถานการณ์ก่อนเกิดภัย
             2. การให้ความช่วยเหลือขณะเกิดภัย และ 
             3. การให้ความช่วยเหลือหลังเกิดภัย

กรมประมงจึงแจ้งเตือนให้เกษตรกรเตรียมพร้อมรับมือกับโรคในสัตว์น้ำที่อาจจะเกิดขึ้น ได้แก่
            1. เชื้อราสกุลอะฟลาโนมัยซิส (Aphanomyces invadans) เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิด โรคแผลเน่าเปื่อย หรือโรคอียูเอส เป็นโรคที่อยู่ภายใต้ระบบการเฝ้าระวังโรคสัตว์น้ำของประเทศไทย โดยลักษณะอาการปลาที่ป่วย จะมีแผลเน่าเปื่อยลึกตามตัว พบในปลาหลายชนิดทั้งที่อยู่ในธรรมชาติและบ่อเลี้ยง เช่น ปลาช่อน ปลาตะเพียน ปลาสร้อย ปลากระสูบ ปลาแรด ปลาสลิด เป็นต้น ปัจจุบันยังไม่มียาหรือสารเคมีที่ใช้ในการรักษา หากสภาพอากาศและน้ำในบ่อเลี้ยงมีอุณหภูมิสูงขึ้น เชื้อราดังกล่าวจะเจริญและแพร่กระจายได้น้อยลง ขณะเดียวกันปลาที่ป่วยจะมีภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น ช่วยให้ปลาหายป่วยเองได้ในเวลาต่อมา
            2. เชื้อแบคทีเรียสกุลฟลาโวแบคทีเรียม (Flavobacterium sp.) เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคตัวด่าง พบในปลาหลังจากการย้ายบ่อ หรือขนส่งโดยลักษณะอาการปลาที่ป่วยจะมีแผลด่างขาวตามลำตัว หากติดเชื้อรุนแรงปลาจะตายเป็นจำนวนมากในระยะเวลาสั้น พบได้ในปลาสวยงาม ปลากะพงขาว ปลาดุก ปลาช่อน และปลาบู่ วิธีป้องกันโรคที่ดี คือ ลดความหนาแน่นปลา ลดอาหาร ควบคุมคุณภาพน้ำให้เหมาะสม หลังการเคลื่อนย้ายหรือขนส่งให้ใช้เกลือแกง 1 กิโลกรัมต่อน้ำ 1 ตัน (0.1 %) เพื่อช่วยลดความเครียด
           3. เชื้อไวรัสคอยเฮอบี (koi herpesvirus) เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคไวรัสเคเอชวี พบในปลาตระกูลคาร์พและไน โดยลักษณะอาการปลาที่ป่วย จะรวมกลุ่มอยู่ตามผิวน้ำและขอบบ่อ ซึม ว่ายน้ำเสียการทรงตัว ลำตัวมีเมือกมาก มีแผลเลือดออกตามลำตัว ในปลาที่มีอาการติดเชื้อรุนแรงจะพบอาการเหงือกเน่า ปลาอ่อนแอ กินอาหารน้อยลงหรือไม่กินอาหาร ทยอยตาย พบมีอัตราการตายสูงถึง 50 –100 % โรคนี้มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสจึงไม่มียารักษา วิธีป้องกันโรคที่ดี คือ ลดความหนาแน่นปลา ลดอาหาร ควบคุมคุณภาพน้ำให้เหมาะสม

      แม้โรคดังกล่าวจะพบแค่ในปลา ไม่พบในกุ้งก็ตาม แต่เนื่องจากสภาพอากาศที่เย็นลง นั้นส่งผลกระทบต่อการกินอาหารของกุ้งทำให้กินอาหารได้น้อยลง ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพของกุ้งได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เกษตรกรควรมีการเตรียมการเฝ้าระวัง เพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น รวมถึงเป็นการควบคุมโรคสัตว์น้ำ โดยให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของกรมประมง ดังนี้
         1.วางแผนการเลี้ยงสัตว์น้ำให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และฤดูกาล
         2.ควรคัดเลือกลูกพันธุ์ที่แข็งแรง จากฟาร์มผู้ผลิตที่ได้มาตรฐานและเชื่อถือได้
         3.ควรปล่อยสัตว์น้ำลงเลี้ยงในอัตราความหนาแน่นที่เหมาะสมหรือน้อยกว่าปกติ เพื่อลดความสูญเสียจากคุณภาพน้ำที่ไม่เหมาะสม และการเปลี่ยนแปลงของอากาศที่เกิดขึ้น
         4.เลือกใช้อาหารที่มีคุณภาพที่ดี และให้อาหารสัตว์น้ำในปริมาณที่เหมาะสม เสริมสารอาหารหรือวิตามินที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำ เช่น โปรไบโอติก วิตามินซี วิตามินรวม เป็นต้น
         5.ควรหมั่นตรวจสุขภาพสัตว์น้ำอย่างสม่ำเสมอ กรณีมีสัตว์น้ำป่วยตายควรกำจัดโดยการฝังหรือเผาไม่ควรทิ้งสัตว์น้ำป่วยไว้ในบริเวณบ่อหรือกระชังที่เลี้ยง เพราะจะเป็นการแพร่กระจายเชื้อโรคทำให้การระบาดของโรคเป็นไปอย่างรวดเร็ว

 

หนาวแล้ว...ดูแลหนูดีๆ หน่อย

              ในช่วงที่อากาศแปรปรวน หลายพื้นที่มีอุณหภูมิลดต่ำลงในช่วงเช้าและค่ำ สลับกับอากาศร้อนในช่วงกลางวัน และบางพื้นที่มีฝนตกร่วมด้วย ภาวะเช่นนี้มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและสุขภาพของสัตว์น้ำ เนื่องจากปลาเป็นสัตว์เลือดเย็นจึงมีอุณหภูมิร่างกายเท่ากับสภาพแวดล้อม เมื่ออากาศเย็นลงระบบเมตาบอลิซึ่มในร่างกายจะผิดปกติ และระบบภูมิคุ้มกันต่ำลง จึงมีคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงปลาว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาต้องวางแผนการเลี้ยงอย่างรอบคอบ ไม่เลี้ยงปลาหนาแน่นเกินไป และปล่อยลูกปลาที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อให้ลูกปลาโตมีภูมิต้านทานเพิ่ม ช่วยลดลดอัตราเสี่ยง
              ควรสังเกตการกินอาหารที่อาจลดลง เนื่องจากอุณหภูมิน้ำเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน โดยยึดหลักการณ์ให้อาหารทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง คือการแบ่งจำนวนมื้ออาหารให้มากขึ้น เป็นวันละ 5-6 มื้อ ในแต่ละครั้งจะต้องให้ทีละน้อยเท่าที่ปลากินหมด เพื่อกระตุ้นการกินของปลาให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงการให้อาหารในช่วงเช้าที่มีอุณหภูมิต่ำ เพราะปลาจะกินอาหารได้น้อย และควรผสมวิตามินซีและสารกระตุ้นภูมิต้านทานในอาหารให้ปลากินสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เพื่อเพิ่มภูมิต้านทาน
              ส่วนการเลี้ยงในรูปแบบบ่อดิน นับว่าสามารถควบคุมอุณหภูมิน้ำได้ง่ายกว่า โดยเกษตรกรอาจนำเอานวัตกรรมการเลี้ยงสัตว์น้ำในระบบโปร–ไบโอติก (Pro-Biotic Farming) เข้ามาใช้ร่วมด้วย ซึ่งการเลี้ยงจะใช้แบคทีเรียที่เป็นมิตรกับสัตว์น้ำและสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งช่วยปรับสมดุลสิ่งแวดล้อมในบ่อเลี้ยง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาหรือสารปฏิชีวนะใดๆ จึงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งยังช่วยควบคุมคุณภาพน้ำทำให้ปลาที่เลี้ยงมีสุขภาพดี ได้ผลผลิตปลาเนื้อคุณภาพ ทั้งนี้ในช่วงที่อากาศเย็นลงเกษตรกรสามารถทำแนวบังลมในทิศทางที่ลมหนาวพัดมา คือทิศเหนือ/ตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อลดการกระทบกันของลมเย็นที่กระทำต่อพื้นผิวของน้ำในบ่อ

             จึงขอแนะนำเกษตรกรหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น และเป็นการควบคุมโรคระบาดในช่วงฤดูหนาว ขอให้เกษตรกรปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้
                1. เกษตรกรควรวางแผนระยะเวลาการเลี้ยงปลาให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม หรือ ควรงดเว้นการเลี้ยงปลาในช่วงฤดูหนาว
                2. ควรมีบ่อพักน้ำใช้เพื่อใช้ในฟาร์มได้เพียงพอตลอดฤดูกาล โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว
                3. เลือกชนิดปลาที่จะเลี้ยงให้เหมาะสมกับฤดูกาล โดยในช่วงฤดูหนาว ควรเลือกปลาที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาดน้อย เช่น ปลานิล ปลาจีน และปลาไม่มีเกล็ด ที่สำคัญ ควรลดความหนาแน่นของปลาที่ปล่อยลงเลี้ยงและหมั่นเอาใจใส่ ตรวจสุขภาพปลาอย่างสม่ำเสมอ
                4. เลื่อนมื้ออาหารให้สอดคล้องกับช่วงเวลาที่อุณหภูมิสูงขึ้น และควบคุมปริมาณการให้อาหารอย่างเหมาะสม ลดปริมาณอาหารที่จะให้ลง 10 – 15 % หรือค่อยๆ ให้ปลากินจนอิ่ม เนื่องจากช่วงอุณหภูมิต่ำปลาจะกินอาหารได้น้อยลง ถ้าหากมีปริมาณอาหารเหลือจะสะสมตามพื้นบ่อ ส่งผลให้น้ำเน่าเสีย เกิดก๊าซพิษ และมีผลกระทบต่อสุขภาพปลา ทั้งนี้ อาจมีการเสริมวิตามินซีในอาหารตามอัตราการใช้ที่ระบุในฉลาก จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง ต้านทานโรคและลดความเครียดของปลาได้
                5. หากบางวันฟ้าปิด มีเมฆและหมอกปกคลุม ไม่มีแสงแดด จะมีผลให้ออกชิเจนในน้ำลดต่ำลง จึงควรเพิ่มออกซิเจนในน้ำด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ใช้เครื่องตีน้ำ เครื่องเติมอากาศ สูบน้ำพ่นให้เป็นฝอยเติมอากาศลงไปในบ่อ
                6. หากพบว่าน้ำในบ่อเริ่มเน่าเสีย โดยสังเกตจากก๊าซที่ผุดขึ้นมาจากพื้นบ่อ ให้ใช้เกลือสาดให้ทั่วบริเวณดังกล่าว ประมาณ 200–300 กิโลกรัมต่อบ่อขนาด 1 ไร่ เพื่อลดความเป็นพิษของก๊าซพิษ เช่น แอมโมเนีย เป็นต้น
                7. หากพบว่ามีปลาที่เลี้ยงป่วยหรือมีอาการผิดปกติ ควรแยกออกไปเลี้ยงและรักษาต่างหาก กรณีป่วยหนักควรทำลายทิ้งเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในวงกว้าง หรือ หากพบปลาตายในบ่อเลี้ยงให้กำจัดโดยการฝังหรือเผา
                8. เมื่ออากาศเริ่มเข้าสู่สภาวะที่เหมาะสม (อุณหภูมิของน้ำสูงขึ้น) ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำตามความเหมาะสม และให้อาหารปลาได้ตามปกติ
        ทั้งนี้ เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำควรหมั่นสังเกตและดูแลสัตว์น้ำในระยะดังกล่าวอย่างใกล้ชิด

 

  

 

กรมประมงเตือน...!! เกษตรกรเฝ้าระวัง โรคสัตว์น้ำในช่วงฤดูฝน
            เริ่มต้นเข้าสู่ฤดูฝน โดยในหลายพื้นที่ของประเทศไทยจะมีฝนตกชุกหนาแน่น มีการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ส่งผลให้คุณภาพน้ำมีการเปลี่ยนแปลง เช่น อุณหภูมิ ปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำ ความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ความเค็ม และความขุ่น ซึ่งกระทบต่อสุขภาพของสัตว์น้ำ ทำให้สัตว์น้ำปรับตัวไม่ทัน เกิดความเครียด อ่อนแอ เสี่ยงที่จะเกิดโรคได้ง่าย และอาจตายได้อย่างฉับพลัน กรมประมงจึงขอแจ้งเตือนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้เฝ้าระวัง และหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น กรมประมง ได้มีการจัดทำแผนเตรียมรับสถานการณ์ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้กับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ไว้ 3 ระยะ คือ
            1. การเตรียมรับสถานการณ์ก่อนเกิดภัย
            2. การให้ความช่วยเหลือขณะเกิดภัย และ 
            3. การให้ความช่วยเหลือหลังเกิดภัย

   จึงขอให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเตรียมการเฝ้าระวัง ป้องกัน และพร้อมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยมีข้อแนะนำ ดังนี้
             1. วางแผนการเลี้ยงสัตว์น้ำให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และฤดูกาล เพื่อให้สามารถจับได้ก่อนฤดูน้ำหลาก
             2. ทยอยจับสัตว์น้ำที่ได้ขนาดขึ้นมาจำหน่ายหรือบริโภค เพื่อเป็นการลดปริมาณสัตว์น้ำภายในบ่อ เพื่อลดความสูญเสียให้มากที่สุด
             3. ปรับปรุงคันบ่อและเสริมคันบ่อให้สูงพอกับปริมาณน้ำที่เคยท่วมในปีที่ผ่าน ๆ มา
             4. จัดทำร่องระบายน้ำ และขุดลอกตะกอนดินที่จะทำร่องระบายน้ำตื้นเขินออกไปเพื่อให้น้ำไหลเข้าออกได้อย่างสะดวก
             5. ควบคุมการใช้น้ำและรักษาปริมาณน้ำในที่เลี้ยงสัตว์น้ำให้มีปริมาณพอเหมาะหรือ มีปริมาณ 2 ใน 3 ส่วนของน้ำที่มีอยู่ในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ
             6. จัดเตรียมปูนขาวไว้สำหรับพื้นที่ดินกรด ดินเปรี้ยว เพื่อปรับสภาพน้ำในบ่อหลังน้ำท่วมประมาณ 50 – 60 กิโลกรัมต่อไร่
             7. จัดเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น อวน เครื่องสูบน้ำ เครื่องเพิ่มออกซิเจน ยาปฏิชีวนะ สารเคมี ไว้ให้พร้อม
             8. ควรหมั่นตรวจสุขภาพสัตว์น้ำอย่างสม่ำเสมอ หากพบสิ่งผิดปกติให้รีบหาสาเหตุพร้อมดำเนินการแก้ไขทันที
             9. กรณีการเลี้ยงสัตว์น้ำในกระชัง ควรหมั่นตรวจสอบดูแลความคงทนแข็งแรงของกระชังอยู่เสมอและควรจัดวางกระชังให้มีระยะห่างกันพอสมควร เพื่อให้น้ำมีการหมุนเวียนถ่ายเทสะดวก

สำหรับโรคสัตว์น้ำที่พบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน และเกษตรกรควรเฝ้าระวัง สำหรับโรคที่เกิดในปลา และโรคที่เกิดในกุ้ง ได้แก่
             1. โรคที่เกิดจากปรสิต ที่พบได้ในปลา เช่น เห็บระฆัง ปลิงใส และหมัดปลา ซึ่งจะทำให้ปลามีอาการผิดปกติ เช่น ซึม ว่ายน้ำทุรนทุราย ลอยตัวที่ผิวน้ำ กระพุ้งแก้มเปิดปิดเร็วกว่าปกติ กินอาหารน้อยลง ผอม ขับเมือกออกมามาก มีแผลเลือดออกที่ลำตัว เป็นต้น ซึ่งสามารถกำจัดปรสิตในปลาได้ โดยใช้ฟอร์มาลีน 25 – 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 1 ตัน แช่ตลอด เปลี่ยนถ่ายน้ำและทำซ้ำ 2 – 3 ครั้ง หรือใช้ด่างทับทิม 1 – 2 กรัมต่อน้ำ 1 ตัน
             2. โรคที่เกิดจากแบคทีเรีย ได้แก่ โรคแผลตามลำตัว โรคตัวด่าง พบได้ในปลาและเกิดจากแบคทีเรียกลุ่ม แอโรโมแนส, วิบริโอ, เอ็ดเวิร์ดเซลลาร์ , ฟลาโวแบคทีเรียม เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ปลามีอาการ ซึม มีแผลที่ลำตัว ไม่กินอาหาร ตกเลือดที่ลำตัวและครีบ ตัวด่างขาวที่ลำตัว สีซีดหรือเข้มผิดปกติ และทยอยตาย ถ้าปลาขนาดเล็กอาจมีอัตราการตายสูงมาก หากพบปลามีอาการดังกล่าว ควรนำมาตรวจวินิจฉัยโรคเพื่อตรวจสอบหาชนิดของแบคทีเรีย และผลการทดสอบความไวต่อยาต้านจุลชีพที่จะให้ ให้เหมาะสมกับชนิดของแบคทีเรียก่อนการนำยาไปใช้เพื่อยับยั้งการเกิดโรค
             3. โรคไวรัส เช่น โรค ทีไอแอลวี พบเกิดขึ้นในปลาจากเชื้อไวรัสชื่อ ทิลาเบียเลคไวรัส (ทีไอแอลวี) จะทำให้ปลามีอาการผิดปกติ เช่น สีตัวเข้มหรือซีดผิดปกติ ว่ายน้ำผิดปกติ มีแผลที่ลำตัว และมีอัตราการตายสูง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีไวรัสอีกหลายชนิดที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคในกุ้งขาว และกุ้งก้ามกราม โดยสัตว์น้ำที่ได้รับเชื้อไวรัสจะมีอาการแตกต่างกันออกไปตามชนิดของเชื้อ แต่อาการโดยรวม คือไม่กินอาหาร อัตราการตายสูง การป่วยด้วยเชื้อไวรัสในปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาและสารเคมี เกษตรกรจึงควรป้องกันและให้ความสำคัญในการบริหารจัดการเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดีและมีความปลอดภัยทางชีวภาพ เพื่อลดอัตราความเสี่ยงและช่องทางในการรับเชื้อ
             4. โรคน๊อคน้ำ ส่วนใหญ่พบเกิดขึ้นในปลา เนื่องจากคุณภาพของน้ำเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน เช่น อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว ออกซิเจนต่ำ ความเป็นกรด – ด่าง ต่ำ เกิดจากฝนตกชะล้างความเป็นกรดจากดินสู่น้ำ และความขุ่นในน้ำมากขึ้นหรือมีตะกอนแขวนลอยในน้ำสูง เป็นต้น ทำให้ปลามีอาการลอยหัว เปิด - ปิด กระพุ้งแก้มเร็ว เนื่องจากภาวะออกซิเจนหรือตะกอนในน้ำไปทำให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนของเหงือกลดลง จึงทำให้ปลาตายอย่างกระทันหัน โรคนี้ไม่มีทางรักษาแต่เกษตรกรสามารถเฝ้าระวังและป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายได้

นอกจากนี้ผู้เลี้ยงควรหมั่นสังเกตลักษณะอาการภายนอกและพฤติกรรมของสัตว์น้ำอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเกิดบาดแผลบริเวณผิวหนัง หายใจถี่ การรวมกลุ่มตามขอบบ่อ การกินอาหารน้อยลง เพื่อให้สามารถหาแนวทางการแก้ไขปัญหาที่พบได้อย่างรวดเร็วและยังเป็นการลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการตายของสัตว์น้ำได้

 

 

น้ำท่วม ผู้ประกอบการเพาะเลี้ยงจระเข้ต้องรับมืออย่างไร?

       

 

 

ปูนขาว ทำให้...น้ำใส แก้ปัญหา...น้ำเสีย ทำให้...ปลาโตไว ได้อย่างไร

 ค่า PH ที่เหมาะสมในการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ ควรอยู่ระหว่าง 6.5 – 9.0 
   หากอยู่ 4.0- 6.0 บางชนิดอาจไม่ตาย แต่ผลผลิตจะต่ำการเจริญเติบโตช้า การสืบพันธุ์หยุดชะงัก

เมื่อตรวจวัดคุณภาพน้ำ ค่า PH ปรากฏความเป็น “กรด”
   -> กรณี “ขุดบ่อเลี้ยงใหม่” ให้ตรวจสอบน้ำก่อนปล่อยปลา
   -> กรณี “พบการหมักภายในบ่อ จนนำไปสู่ความเป็นกรดของน้ำ” อาทิ บ่อเก่า บ่อรกร้าง ที่มีเศษพืช เศษไม้ในบ่อบวกกับน้ำนิ่ง ยอมก่อให้เกิดการหมักจนนำไปสู่ความเป็นกรดของน้ำ
   -> หลังฝนตกใหม่ เพราะบางพื้นที่มีฝนเป็นกรด (โดยเฉพาะเขตอุตสาหกรรม)

กรณีตรวจวัดคุณภาพน้ำ ค่า PH ปรากฏความเป็น “ด่างสูง” 
สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธี ดังนี้
   วิธี 1 : ให้ใส่น้ำหมักชีวภาพสูตรต่างๆ ลงไป (น้ำหมักถ้าหมักเกิน 3 เดือน จะมีความเป็นกรดอ่อน มันสามารถนำไปปรับสภาพน้ำได้ ที่สำคัญไม่เป็นพิษต่อสัตว์น้ำ)
   วิธี 2 : ให้นำฝางมาหมักเป็นชั้นผสมกับขี้วัว ได้ประโยชน์ 2 อย่าง คือ ได้ทั้งอาหารปลา และได้ทั้งความเป็นกรดอ่อนๆ จากกระบวนการหมัก

 


Infographic ประโยชน์ของเกลือ คือ ...

   * ช่วยปรับสมดุลแร่ธาตุภายในตัวปลา และสภาพแวดล้อมให้สมดุลกัน
   * ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้ปลาที่อ่อนเพลีย สูญเสียพลังงานจากการเคลื่อนย้าย
   * ช่วยเร่งการขับเมือกให้ปลา เป็นข้อดี คือผิวปลาจะสะอาดขึ้น ชื้อโรคหรือบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ จะหลุดออกไปกับเมือก ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อโรค
ใช้เกลือเมื่อไร...    เมื่อ...หลังการเคลื่อนย้ายปลาทุกครั้ง มีอาการช้ำและมีแผลถลอกตามผิวตัว
                             เมื่อ...อากาศเปลี่ยนแปลง เช่น ฝนตกหนัก ปลายฝนต้นหนาว
                             เมื่อ...ปลามีอาการซิม ลอยหัว
                             เมื่อ...ใช้หลังจากการเปลี่ยนถ่ายน้ำ


ใช้เกลือเท่าไร...
        ใช้เกลือทะเล แบบที่ใช้ในสวนหรือใส่ต้นไม้ บางที่เรียกว่า เกลือดำ อัตราส่วนการใช้เกลือ 100 กิโลกรัม/ไร่ ทำซ้ำ 1-3 วัน (เกลือ 1 ถุง ใช้เวลา 15 ชั่วโมงขึ้นไปจึงละลายหมด)

        #กรณีบ่อดิน ไม่จำเป็นต้องสาดทั่วบ่อ ให้แขวนถุงเกลือแช่น้ำบริเวณมุมบ่อ 4-5 จุด ก็เพียงพอ (โดยเฉพาะจุดที่เคยให้กินอาหารและแขวนถุงเกลือซ้ำได้เมื่อเกลือละลายหมด)
        #กรณีบ่อซีเมนต์#กระชัง#บ่อพลาสติกขนาดใหญ่ ใช้วิธีแขวนถุงเกลือ ปริมาณ 5-10 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับขนาดของกระชัง ปริมาณน้ำในบ่อ โดยแขวนถุงเกลือ 4-5 มุม รอบๆ บ่อให้เกลือค่อยๆ ละลาย และเราสามารถแขวนถุงเกลือซ้ำได้เมื่อเกลือละลายหมด
        #กรณีในตู้ปลา#วงบ่อซีเมนต์ขนาดเล็ก ให้เกลือทยอย หว่านได้โดยตรงในตู้ปลา หรือในบ่อ ปริมาณที่ใช้ 300-500 กรัม ต่อน้ำ 1 ตัน (ความเข้มข้น 0.3-0.5%) โดยแบ่งหว่าน 2-3 ครั้ง เพื่อให้เกิดการปรับตัวของปลาต่อความเค็มอย่างช้าๆ
กรณี การขนส่ง การเติมเกลือ 4 กรัม/ลิตรในน้ำสามารถลดความเครียดของปลาระหว่างการขนส่งได้

 

แนวทางการสร้างออกซิเจนในน้ำ

อันดับแรกสิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าออกซิเจนละลายในน้ำได้อย่างไร ?
??อนุภาคออกซิเจนจะละลายลงไปในน้ำเพียงแค่สัมผัสกับน้ำ ดังนั้นในการที่จะนำออกซิเจนเข้าสู่บ่อมากขึ้น จำเป็นต้องมีน้ำที่สัมผัสกับออกซิเจนในบรรยากาศมากขึ้น
??พื้นผิวของน้ำในบ่อมักจะสัมผัสกับบรรยากาศ และจะมีความเข้มข้นของออกซิเจนสูงสุด สิ่งนี้อธิบายได้ว่าทำไมปลาจึงว่ายอยู่ใกล้ผิวสระน้ำในช่วงเวลาที่ออกซิเจนขาดแคลน
??น้ำส่วนใหญ่ที่อยู่ลึกลงไปในบ่อจะไม่สามารถเข้าถึงอนุภาคออกซิเจนได้ เพื่อเพิ่มระดับออกซิเจนตลอดปริมาตรของน้ำในบ่อ จะต้องเพิ่มพื้นที่ผิวที่สัมผัสกับออกซิเจน

 

สร้างการรับรู้ด้านประมงสู่ภาคประชาชน “ปลาน็อกน้ำ”

โดย: สมาคมสัตวแพทย์สัตว์น้ำไทย - TAVA

ตอนนี้กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศออกมาแล้วว่าประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม ที่ผ่านมา (ประกาศย้อนหลัง?) ซึ่งฝนก็มาจริง มาถี่ มารัวๆ นี่เป็นช่วงเวลาวิกฤติที่หลายท่านอาจจะเริ่มเจอปลาป่วย หรือแย่ที่สุดคือเช้ามาก็เจอปลาตายเลยครับ
           ...หลายคนเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “ปลาน็อกน้ำ”

แล้วมันน็อกน้ำได้จริงหรือเปล่า? เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
     1. ปัจจัยแรกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คือความเป็นกรด-ด่างของน้ำครับ ในภาวะที่มลภาวะทางอากาศเริ่มมากอย่างบ้านเรา ฝนแรกๆมักมีภาวะเป็นกรด ส่งผลให้สภาพกรด-ด่างของน้ำเปลี่ยนแปลงไปได้ ซึ่งสัตว์น้ำอาจปรับตัวไม่ทัน ทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรด ซึ่งทำให้มีภาวะขาดออกซิเจนได้
     2. นอกจากนั้น ความแตกต่างระหว่างน้ำใหม่ (น้ำฝน) และน้ำเก่า (น้ำบ่อ) อาจเกิดภาวะแยกชั้น (stratification) ซึ่งทำให้ออกซิเจนไม่สามารถละลายลงไปในมวลน้ำที่ลึกได้ตามปกติ ทำให้ปลาขาดออกซิเจนครับ
     3. และสิ่งที่อาจทำให้เกิดการตายฉับพลันได้ อาจเกิดจากสารพิษได้ด้วย เช่น การชะล้างปุ๋ย (ไนเตรต) และยาฆ่าแมลง จากหน้าดินหรือต้นไม้ ลงสู่บ่อ หรืออาจเกิดการฟุ้งกระจายของตะกอนดินก้นบ่อ ทำให้เกิดก๊าซไข่เน่า (ไฮโดรเจนซัลไฟด์) จากก้นบ่อฟุ้งขึ้นมา ซึ่งก็สามารถทำให้ปลาตายฉับพลันได้เช่นกัน

นอกจากการตายฉบับพลันแล้ว ยังมีปัจจัยที่สำคัญบางประการที่ทำให้ปลาอ่อนแอได้มากขึ้นด้วย ได้แก่
     1. การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ก่อนฝนตกก็ร้อนอบอ้าว ความชื้นที่สูงก็ทำให้การระเหยของน้ำที่จะช่วยระบายความร้อนได้น้อยลงอีก แต่พอฝนตก ก็ทำให้น้ำเย็นลงอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงแบบนี้ไม่เป็นผลดีกับสุขภาพของปลาครับ ปลาสามารถตายทันที หรืออาจทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลงจนติดโรคต่างๆได้ง่ายขึ้นครับ
     2. การลดต่ำของออกซิเจน ในบ่อที่มีสาหร่ายมาก มีพืชน้ำมาก ในช่วงฟ้าปิดไม่มีแสง ไม่มีการสังเคราะห์แสง ในบ่อจะมีการดึงออกซิเจนไปใช้อย่างต่อเนื่อง ทำให้บ่อปลามีออกซิเจนต่ำจนวิกฤติและเกิดการตายฉับพลันได้ หรืออาจจะทำให้ภูมิคุ้มกันของปลาต่ำลงได้เช่นกันครับ
     3. เชื้อก่อโรคที่แข็งแรงขึ้น ต่อโรคได้มากขึ้น แบคทีเรียบางชนิด เช่น Flavobacterium sp. พบว่ามีการระบาดในช่วงที่อากาศเย็นได้มากขึ้น หรือไวรัสบางชนิด เช่น Koi herpesvirus ก็มีความสามารถในการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้มากขึ้นในช่วงอากาศเย็น รวมไปถึงโรคโปรโตซัวอย่างจุดขาว (Ichthyopthirius multifillis) ก็แบ่งตัวได้ดีช่วงอุณหภูมิต่ำๆ และหยุดการเติบโตเมื่อน้ำมีอุณหภูมิสูงกว่า 30 องศาเซลเซียส เป็นต้น ดังนั้น อุณหภูมิที่ลดต่ำลง เป็นปัจจัยโน้มน้ำให้ปลาป่วยได้ในหน้าฝนมากขึ้นครับ

การป้องกันเพื่อส่งเสริมสุขภาพปลาในหน้าฝนนี้
     1. หากเป็นบ่อไม่ใหญ่ ให้หลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำฝนลงบ่อโดยตรง โดยเฉพาะน้ำล้างหลังคาบ้านครับ
     2. ตรวจสอบ alkalinity ของน้ำเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงของ pH อาจใช้ปูนโดโลไมต์ช่วยในบ่อเลี้ยงปลาเศรษฐกิจครับ
     3. มีระบบไหลเวียนน้ำที่เหมาะสม หรือมีการให้อ็อกซิเจนกับน้ำ โดยควรมีระบบเติมอากาศในบ่อ เช่น ใบพัดตีน้ำ ระบบแอร์เจ็ต ท่อนาโนบับเบิ้ล เพื่อเติมอากาศและให้น้ำหมุนเวียนในบ่อ ลดปัญหาน้ำแยกชั้น อาจเปิดใช้งานเมื่อขณะฝนตก
     4. อาจลดปริมาณอาหาร โดยประเมินตามการกินได้ของปลาครับ เนื่องจากเมื่อปลาเครียดหรือป่วย อาจกินอาหารน้อยลงและทำให้มีอาหารเหลือ เป็นของเสียสะสมในน้ำมากกว่าปกติครับ แต่บางท่านก็จะแนะนำว่าลดหรืองดไปเลย ปลาอดอาหารได้หลายวัน ไม่ต้องกลัวว่าจะผอม กลัวตุยดีกว่าเนาะครับ
     5. การใช้เกลือแกง เพื่อลดความเครียดของปลา โดยถ้าเป็นตู้ขนาดเล็ก อาจใช้ 1-3 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร (1-3 ppt) หรือหากเป็นบ่อปลา อาจใช้ 160 กิโลกรัมต่อไร่
     6. การใช้ heater ในตู้ปลาเพื่อช่วยคุมให้อุณหภูมิคงที่

 

บ่อปลา "กลางแจ้ง" ต้องเจอภาวะน้ำเขียว

       เมื่อน้ำมีอาหารพืช คือ ปุ๋ยไนโตเจนในรูปของแอมโมเนียและไนไตท์ บวกกับมีแสงแดด ก็เกิดพืชน้ำโดยธรรมชาติ คือ สาหร่ายเซลล์เดียวจะใช้แสงแดดเป็นส่วนสังเคราะห์อาหาร #ถ้ามีแอมโมเนียและไนไตท์มากบวกกับมีแสงแดดก็จะเกิดสาหร่ายเซลล์เดียวแขวนลอยอยู่ในน้ำทำให้น้ำเขียว

      การทำความสะอาดน้ำ ด้วยการทำงานแบบไบโอฟิลเตอร์ ก็คือการใช้จุลินทรีย์ในธรรมชาติเติมเข้าไป เปลี่ยนแอมโมเนียและไนไตท์ให้เป็นสารไนเตรท น้ำก็จะสะอาด ปลาสามารถมีชีวิตอยู่ได้ สารไนเตรทที่อยู่ในบ่อปลาจะถูกสาหร่ายหลายเซลล์ที่เกาะอยู่ตามผนังบ่อและพื้นบ่อใช้ประโยชน์ ส่วนสาหร่ายเซลเดียวสามารถใช้ไนเตรทได้เหมือนพืชหลายเซลเหมือนกันแต่ไม่ดีเท่า ปลาก็จะกินตะไคร่น้ำรอบบ่อ/พื้นบ่อ ต่อไปจนครบวงจรน้ำก็จะใส อ้างอิง: http://www.waterprogarden.com/article/10041/การแก้ไขน้ำเขียวในบ่อปลาคาร์พ

ข้อดีและข้อเสียของน้ำเขียว

ข้อดี ข้อเสีย

 

   - น้ำที่เปี่ยมไปด้วยออกซิเจน ในระหว่างการ Photosynthesis ของพืช คาร์บอนไดออกไซด์และแอมโมเนีย จะถูกใช้ไป ออกซิเจนจะถูกผลิตออกมาแทนที่ปลาที่ได้รับ ออกซิเจน ในปริมาณที่มากจะเจริญอาหาร โตเร็วและแข็งแรง ผลพลอยได้ก็คือพัฒนาการที่ดีของทั้งรูปร่าง
 
   - น้ำที่ปราศจากของเสีย Nitrite และ Nitrate ซึ่งเป็นพิษสำหรับปลา จะถูกกำจัดออกไปในกระบวนการ Photosynthesis 
 
   - ระบบกรองแบบธรรมชาติที่ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ น้ำเขียวสามารถถูกนำมาใช้แทนที่ระบบกรองที่ต้องลงทุนทั้งเม็ดเงินและเวลาในการดูแลรักษา
 
   - ช่วยให้สภาพของน้ำไม่แปรปรวน คุณสมบัติที่ดีอีกอย่างของน้ำเขียว คือสามารถทำให้ไม่เกิดการแกว่งตัวอย่างเฉียบพลัน ของค่า pH ในน้ำ และเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำใส น้ำเขียวจะมีการปรับตัวของอุณหภูมิที่ช้ากว่าเมื่อต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของอุณหภูมิโดยรอบ
 
   - เป็นแหล่งอาหารชั้นยอด น้ำเขียวมีสัดส่วนของโปรตีน ในจำนวนมาก เและยังมี Carotene ที่เป็นสารเร่งสีแบบธรรมชาติสำหรับปลาทองอีกด้วยเพราะฉะนั้นเราจะเห็นชาวญี่ปุ่นนิยมที่จะเตรียมน้ำเขียวก่อนเข้าฤดูหนาวไว้ใช้เลี้ยงปลาช่วงฤดูหนาว เพราะช่วงฤดูหนาวปลาจะจำศีลและจะไม่มีการให้อาหารหรือเปลี่ยนน้ำเด็ดขาด น้ำเขียวจึงเป็นแหล่งอาหารที่ดี และยังช่วยคงสภาพน้ำในช่วงที่สภาพอากาศเลวร้ายอีกด้วย
 
   - ช่วยลดความเครียดให้กับปลา ทุกท่านอาจเคยได้ยินว่าเวลาปลาป่วยให้ใส่ยาและปิดบ่อ เพื่อลดความเครียดของปลา น้ำเขียวก็สามารถทำหน้าที่ได้เหมือนกับการปิดบ่อ เพราะปลาจะมองเห็นแต่สีเขียวและจะไม่แตกตื่นง่ายต่อการเคลื่อนใหวของสิ่งต่างๆรอบข้าง

   - การขาดออกซิเจน ในขณะที่ตอนกลางวัน น้ำเขียวจะปล่อย ออกซิเจน ออกมาจำนวนมากและช่วยให้ปลาสดชื่นและเจริญอาหาร แต่ในตอนกลางคืนน้ำเขียวจะแย่ง ออกซิเจน และอาจทำให้เกิดการขาดออกซิเจน ได้แต่โดยรวมแล้ว ปลามักจะมีการเคลื่อนไหวน้อยและกินอาหารน้อยอยู่แล้วจึงไม่ต้องใช้ ออกซิเจน มากเท่าตอนกลางวัน แต่เพื่อความปลอดภัย การเติมอากาศให้เพียงพอจึงเป็นเรื่องสำคัญในตอนกลางคืน (การติดตั้งระบบบ่อกรอง น้ำตก น้ำพุ หรือหัวเจ็ต จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของน้ำและเพิ่มออกซิเจน ซึ่งช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของตะไคร่น้ำได้)

 
   - แผลเป็นที่เกิดจากออกซิเจน บางท่านอาจจะเคยพบว่าเกิดฟองอากาศขึ้นตามครีบและหางบนตัวปลา เมื่อพยายามเขี่ยก็ไม่ออก สาเหตุของอาการดังกล่าวเกิดจากออกซิเจนที่ถูกผลิตออกมาในจำนวนมากโดยน้ำเขียวและได้เกิดการรวมตัวเป็นจำนวนมากในครีบหรือหางของปลาและเกิดภาวะระเบิดออกจากแรงอัดอากาศ ทำให้เกิดแผลเป็นขึ้น
 
   - มองไม่เห็นปลา นี่คงเป็นข้อเสียข้อสำคัญสำหรับนักเลี้ยง เพราะทุกท่านเลี้ยงปลาเพื่อผ่อนคลายเวลาชมปลาตัวโปรดของเราว่ายน้ำ นอกจากจะไม่ได้ชื่นชมปลาตัวโปรดแล้ว การมองไม่เห็นปลาที่เราเลี้ยงก็มีความเสี่ยงในการรักษาปลาที่เป็นโรค หากพบอาการป่วยของปลาช้าเกินไป

 

 

 

 

 

 

 

 

เพิ่มเติม : 

พืชน้ำ โดยมักวางในตำแหน่งที่โดนแสงแดดจัด เพื่อลดอุณหภูมิและให้ร่มเงา นอกจากนี้พืชน้ำยังมีประโยชน์ต่อสัตว์น้ำที่เลี้ยงไว้ เนื่องจากเป็นทั้งแหล่งอาหาร ที่วางไข่และ ที่หลบซ่อน อีกทั้งยังสามารถผลิตออกซิเจนให้แก่แหล่งน้ำ พร้อมทั้งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ทำให้น้ำอยู่ในสภาพสมดุล

 

ปัญหาโลกร้อนและรวนผลกระทบประมงและเพาะเลี้ยงปลาน้ำจืด

อ่านเพิ่มเติม คลิก 

 

ผลของอุณหภูมิ ต่อสุขภาพปลา

#อุณหภูมิมีผลต่อคุณภาพน้ำ เช่น ความหนืดของน้ำ การแบ่งชั้นน้ำในบ่อและการพลิกตัวอย่างฉับพลันของน้ำชั้นบนลงสู่ชั้นล่าง ทำให้ออกซิเจนในบ่อลดต่ำลงอย่างรวดเร็วและเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ปลาตายจำนวนมาก จึงควรเฝ้าระวังตรวจสอบอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ และควรมีแผน มาตรการควบคุม 

#อุณหภูมิมีผลต่ออุณหภูมิภายในร่างกายของปลา เนื่องจากปลาเป็นสัตว์เลือดเย็น การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันโรคจะเป็นปกติเมื่ออุณหภูมิน้ำอยู่ในช่วงเดียวกับอุณหภูมิทางสรีระ (Physiological range) ปลาจะมีอัตราการเผาผลาญของร่างกาย (Metabolic rates) เพิ่มขึ้นถ้าน้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้นสำหรับปลาส่วนใหญ่ถ้าอุณหภูมิของน้ำเพิ่มขึ้น 10 องศาเซลเซียสจะมีผลให้อัตราการเผาผลาญของร่างกายเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของปกติ

#เมื่ออุณหภูมิน้ำสูง ขึ้นจะพบว่าปลามีการว่ายน้ำมากขึ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารเพิ่มขึ้นและมีอัตราการหายใจที่เร็วขึ้น สังเกตได้จากความถี่ในการเปิดปิดของแผ่นปิดเหงือกการเพิ่มอัตราการหายใจทำให้ปริมาณการใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นอันตรายหากสภาวะนี้คงอยู่หรือเพิ่มขึ้นเป็นระยะเวลานาน เมื่อถึงสภาวะที่ปลาทนร้อนไม่ได้หรือมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิฉับพลันปลาจะปรับสภาพไม่ทันรวมทั้งอาจขาดออกซิเจนและตายได้

#5วิธีรับมือเบื้องต้น เพื่อหลีกเลี่ยงการตายของปลาในสภาวะหน้าร้อน
  1. ควรลดปริมาณการให้อาหารให้น้อยลงประมาณ 15 - 30 เปอร์เซ็นต์หรือมากกว่า เนื่องจากความสามารถในการย่อยและการดูดซึมอาหารจะลดลง และอาหารเหลือจะทำให้น้ำเน่าเสียง่าย ซึ่งอาจทำให้ปลาตายได้
  2. ควรลดความหนาแน่นของปลาที่เลี้ยง ป้องกันการขาดออกซิเจน และลดการเกิดของเสียในน้ำ โดยลดอัตราการปล่อย 15-20 % ของการปล่อยปกติ
  3. การเลี้ยงปลาในกระชัง ควรย้ายกระชังไปในพื้นที่มีน้ำพอเพียง มีการไหลเวียนของน้ำ สม่ำเสมอ พื้นก้นกระชังควรอยู่สูงจากพื้นไม่น้อยกว่า 1 เมตร
  4. การเติมอากาศให้เพียงพอ ควรเปิดเครื่องตีน้ำในช่วงกลางวันที่มีอุณหภูมิสูงหรือช่วงที่อากาศร้อนจัด เพื่อเพิ่มออกซิเจนในน้ำ และคลุกเคล้าน้ำทำให้อุณหภูมิน้ำลดลงได้ และเปิดเครื่องตีน้ำช่วงกลางคืนไปจนถึงรุ่งเช้าเพื่อป้องกันปลาน็อค
  5. หมั่นสังเกตอาการของปลาที่เลี้ยงอยู่เสมอ หากพบว่าปลามีอาการผิดปกติ เช่น ปลาขึ้นมางับอากาศ ว่ายน้ำผิดปกติ หรือตายเป็นจำนวนมาก ควรงดอาหาร 2-3 วัน เมื่อกลับมาให้อาหารควรผสมวิตามินซี  เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้

 

 

เริ่มต้น...เลี้ยงปลาในบ่อดิน กับประมง

       

 Tags

  •   Hits
  • ภารกิจประจำวันที่ 10 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  ภารกิจประจำวันที่ 10 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี   จำนวนผู้อ่าน 71  ภารกิจประจำวันที่ 25 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี   ภารกิจประจำวันที่ 25 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี   จำนวนผู้อ่าน 45 ภารกิจประจำวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี ภารกิจประจำวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  จำนวนผู้อ่าน 37 ภารกิจประจำวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี ภารกิจประจำวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  จำนวนผู้อ่าน 36 ภารกิจประจำวันที่ 7 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี ภารกิจประจำวันที่ 7 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  จำนวนผู้อ่าน 36 ภารกิจประจำวันที่ 11 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี ภารกิจประจำวันที่ 11 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  จำนวนผู้อ่าน 35 ภารกิจประจำวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  ภารกิจประจำวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี   จำนวนผู้อ่าน 34 ภารกิจประจำวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  ภารกิจประจำวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี   จำนวนผู้อ่าน 34 ภารกิจประจำวันที่ 8 เมษายน 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี ภารกิจประจำวันที่ 8 เมษายน 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  จำนวนผู้อ่าน 33 ภารกิจประจำวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  ภารกิจประจำวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี   จำนวนผู้อ่าน 32 ภารกิจประจำวันที่ 6 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี ภารกิจประจำวันที่ 6 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  จำนวนผู้อ่าน 31 ภารกิจประจำวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี ภารกิจประจำวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  จำนวนผู้อ่าน 31 ภารกิจประจำวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี ภารกิจประจำวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  จำนวนผู้อ่าน 29 ภารกิจประจำวันที่ 16 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี     ภารกิจประจำวันที่ 16 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี   จำนวนผู้อ่าน 28 ภารกิจประจำวันที่ 19 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี ภารกิจประจำวันที่ 19 มีนาคม 2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี  จำนวนผู้อ่าน 26


    สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ.2568 สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี

    รายละเอียด สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี SARABURI PROVINCIAL FISHERIES OFFICE ที่ตั้ง : 123 หมู่ 6 ศาลากลางจังหวัดสระบุรี สำนักงานประมงจังหวัดสระบุรี (ชั้น 2)            ตำบลตะกุด อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี 18000           123 Moo 6, Saraburi Provincial Hall, Saraburi Provincial Fisheries Office (2nd floor)            Takud Sub-district, Mueang Saraburi District, Saraburi, 18000 การเดินทางสาธารณะ : รถสองแถวสาย 9 (10 บาทตลอดสาย)                                       โดยจุดจอดรถสองแถวเริ่มต้นที่ บขส.สระบุรี สิ้นสุดที่ ศูนย์ราชการจังหวัดสระบุรี  Social Network     : fpo_saraburi@fisheries.go.th  LINEID : fposaraburi QR Code Line    ผู้ดูแลเว็บไซต์ : นางสาวพรศิริ โพธาราม   เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล  email  fpo_saraburi@fisheries.go.th  โทรศัพท์ 0 3634 0742  FAX 0 3634 0742  แฟนเพจ แฟนเพจ
    CreativeCommons Valid CSS! Explanation of WCAG 2.1 Level Triple-AA Conformance SSL Labs ipv6