ข่าวกรมประมง

ร่วมประชุมติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานการสนับสนุนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำเค็ม โ วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม 2568 เวลา 09.00 น. ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช นายสุวัฐน์ วงศ์สุวัฒน์ รองอธิบดีกรมประมง พร้อมด้วยนางมนทกานต์ ท้ามติ้น ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง นายกอบศักดิ์ เกตุเหมือน ประมงจังหวัดนครศรีธรรมราช และหัวหน้าส่วนราชการกรมประมงในจังหวัดนครศรีธรรมราช เข้าร่วมประชุมติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานการสนับสนุนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำเค็ม โดยมีนายธนสาร ธรรมสอน ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุมสำนักงานประมงจังหวัดนครศรีธรรมราช ในโอกาสนี้ ได้ลงพื้นที่เพื่อรับทราบความก้าวหน้าผลการดำเนินงาน และติดตามงานการสนับสนุนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำเค็ม (ชลประทานน้ำเค็ม) ซึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช มีพื้นที่ดำเนินโครงการชลประทานน้ำเค็มเพื่อการเลี้ยงกุ้งทะเล จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ 1. โครงการชลประทานน้ำเค็มเพื่อการเลี้ยงกุ้งทะเลบ้านท่าพญา 2. โครงการชลประทานน้ำเค็มเพื่อการเลี้ยงกุ้งทะเลบ้านบ่อคณฑี 3. โครงการชลประทานน้ำเค็ม เพื่อการเลี้ยงกุ้งทะเลบ้านหน้าสตน 4. โครงการชลประทานน้ำเค็มเพื่อการเลี้ยงกุ้งทะเลบ้านหน้าโกฏิ 5. โครงการชลประทานน้ำเค็มเพื่อการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลนิคมสหกรณ์ปากพญา โดยได้รับทราบปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการเพื่อพัฒนาต่อยอดให้เกิดประโยชน์แก่กลุ่มเกษตรกรต่อไป #กรมประมง #กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์

 10 อ่าน : 2 เดือน

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม 2568 เวลา 09.00 น. ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช

นายสุวัฐน์ วงศ์สุวัฒน์ รองอธิบดีกรมประมง พร้อมด้วยนางมนทกานต์ ท้ามติ้.. 

การประชุมคณะทำงานจ่ายเงินเยียวยาเรือประมง ครั้งที่ 5/2568 วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมปากเปี่ยน ชั้น 5 กรมประมง และระบบประชุมออนไลน์ Zoom Cloud Meetings นายมานพ หนูสอน รองอธิบดีกรมประมง เป็นประธานการประชุมคณะทำงานจ่ายเงินเยียวยาเรือประมง ครั้งที่ 5/2568 ซึ่งมีวาระการประชุมที่สำคัญ ดังนี้ 1) ติดตามความก้าวหน้าการจ่ายเงินเยียวยาเรือประมง งวดที่ 1 ที่ได้เห็นชอบสัญญาฯ จากการประชุม ครั้งที่ 1-3 2) พิจารณาให้ความเห็นชอบสัญญาเงินเยียวยากรณีเรือประมงที่เข้าร่วมโครงการฯ ครั้งที่ 4 เพื่อเบิกจ่ายเงินเยียวยาฯ งวดที่ 1 ตามหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินเยียวยาเรือประมงฯ ให้ชาวประมงที่เข้าร่วมโครงการฯ นำไปแยกชิ้นส่วนเรือ จำนวน 132 ลำ และเปลี่ยนประเภทเรือ จำนวน 2 ลำ รวมจำนวนเรือทั้งสิ้น 134 ลำ ในเขต 10 จังหวัด ประกอบด้วย 1) จังหวัดระยอง จำนวน 45 ลำ 2) จังหวัดสงขลา จำนวน 38 ลำ 3) จังหวัดระนอง จำนวน 22 ลำ 4) จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 8 ลำ 5) จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 6 ลำ 6) จังหวัดปัตตานี จำนวน 4 ลำ 7) จังหวัดภูเก็ต จำนวน 4 ลำ จังหวัดสมุทรสงคราม จำนวน 3 ลำ 9) จังหวัดสตูล จำนวน 3 ลำ 10) จังหวัดจันทบุรี จำนวน 1 ลำ ทั้งนี้ จะได้เสนอกรมประมงอนุมัติ และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยด่วนต่อไป #กรมประมง #กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์  

 5 อ่าน : 2 เดือน

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมปากเปี่ยน ชั้น 5 กรมประมง และระบบประชุมออนไลน์ Zoom Cloud Meetings

นายมานพ หนูสอ.. 

“ฤดูน้ำแดง 2568” คุ้มครองสัตว์น้ำจืดมีไข่ทั่วประเทศ กรมประมงออกประกาศฉบับใหม่ บังคับใช้ 5 ปี   นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำจืดในฤดูปลาน้ำจืดมีไข่ ด้วยการกำหนดให้ใช้เครื่องมือ วิธีการทำประมงที่ไม่เป็นการทำลายพันธุ์ทรัพยากรสัตว์น้ำจืดจนเกินสมควร และเป็นเครื่องมือที่ประชาชนใช้จับสัตว์น้ำเพื่อการดำรงชีพให้สามารถจับสัตว์น้ำจืดในช่วงเวลาการบังคับใช้มาตรการทั่วประเทศ โดยเปิดโอกาสให้ทรัพยากรสัตว์น้ำได้มีการฟื้นตัว และเกิดขึ้นใหม่เข้าทดแทนสัตว์น้ำเดิมที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ และดำรงอยู่อย่างยั่งยืน อันเป็นการสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารให้แก่ประชาชน ซึ่งจากการติดตามประเมินผลมาตรการฤดูน้ำแดงในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา (2566 – 2567) หลังจากมีการบังคับใช้กฎหมายเดิม (ฉบับปี 2566) ที่ผ่านมา ครอบคลุมพื้นที่ 20 ลุ่มน้ำ 40 จังหวัด 61 แหล่งน้ำ รวบรวมตัวอย่างชนิดพันธุ์ปลาทั้งหมด 165 ชนิด จำนวน 53,071 ตัว พบว่า ภาพรวมของทั้งประเทศปลาส่วนใหญ่พร้อมวางไข่เกือบทั้งปี สามารถรักษาพ่อแม่พันธุ์ในภาพรวมของประเทศไทยได้มากถึงร้อยละ 84.4 ซึ่งปริมาณพ่อแม่พันธุ์สัตว์น้ำเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่ผ่านมาส่งผลให้พ่อแม่พันธุ์สัตว์น้ำจืดมีโอกาสได้สืบพันธุ์วางไข่ในช่วงเวลาที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ประกอบกับข้อมูลจากการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า ปรากฎการณ์เอนโซยังคงอยู่ในสภาวะลานีญากำลังอ่อน โดยมีแนวโน้มกลับเข้าสู่สภาวะปกติในช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคม 2568 และต่อเนื่องไปจนถึงช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2568 ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศไทยจะมีปริมาณฝนมากกว่าปกติ ร้อยละ 9 หรือบางพื้นที่ใกล้เคียงค่าปกติ นั่นหมายถึงว่า ช่วงระยะเวลาดังกล่าวจะเข้าสู่ช่วงฤดูน้ำแดง และเพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การรักษาสัตว์น้ำ และระบบนิเวศเกิดความยั่งยืน ตามหลักการบริหารจัดการทรัพยากรฤดูสัตว์น้ำจืดมีไข่ (ฤดูน้ำแดง) ดังนั้น มาตรการฯ ฤดูน้ำแดง ยังคงกำหนดพื้นที่และระยะเวลา รวมถึงเครื่องมือที่ให้ใช้เป็นไปตามมาตรการเดิม และเพิ่มอำนาจให้กับคณะกรรมการประมงประจำจังหวัด ให้สามารถออกประกาศกำหนดพื้นที่ เครื่องมือ วิธีการทำการประมง และเงื่อนไขการทำการประมง เพื่อให้มีความเหมาะสมตามสภาพข้อเท็จจริงของแต่ละพื้นที่ แต่จะมีผลบังคับใช้ในระยะเวลา 5 ปี โดยจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2572 โดยติดตามและประเมินผลทางวิชาการในทุกปีเพื่อให้ประเมินผลตามมาตรการได้อย่างแม่นยำมากขึ้น เนื่องจากการเก็บข้อมูลระยะยาวช่วยให้เห็นถึงแนวโน้มและผลกระทบที่แท้จริง เพื่อปรับปรุงนโยบายให้เหมาะสมและยั่งยืน และเพื่อเป็นการส่งเสริมและสร้างความร่วมมือของชุมชนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้เกิดการสื่อสารสร้างความรับรู้และความเข้าใจการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวต่อชาวประมงได้ดียิ่งขึ้น สำหรับประกาศกรมประมง เรื่อง กำหนดพื้นที่และระยะเวลาฤดูสัตว์น้ำจืดมีไข่ หรือวางไข่ เลี้ยงตัววัยอ่อน และกำหนดเครื่องมือ วิธีการทำการประมง และเงื่อนไขในการทำการประมง พ.ศ. 2568 ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 แบ่งพื้นที่และระยะเวลาการบังคับใช้กฎหมาย ออกเป็น 3 ระยะ ตามความเหมาะสมของระบบนิเวศแต่ละพื้นที่ โดยกำหนดห้ามมิให้ผู้ใดทำการประมงในฤดูสัตว์น้ำจืดมีไข่ในห้วงเวลาและพื้นที่ ดังต่อไปนี้ • ระยะที่ 1 : วันที่ 16 พฤษภาคม - 15 สิงหาคม ของทุกปี : ในบริเวณแม่น้ำ ลำคลอง ลำธาร ห้วย หนอง บึง อ่างเก็บน้ำ เขื่อน พรุ และลำน้ำทุกสาขา รวมทั้งป่าไม้และพื้นดินที่มีน้ำท่วมตามธรรมชาติเชื่อมต่อบริเวณดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือที่ดินของเอกชน ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ น่าน พะเยา แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน อุตรดิตถ์ ตาก กำแพงเพชร พิษณุโลก สุโขทัย พิจิตร เลย อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ นครพนม สกลนคร กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สตูล และในพื้นที่อ่างเก็บน้ำเขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ ตามแผนที่ท้ายประกาศ • ระยะที่ 2 : วันที่ 1 มิถุนายน - 31 สิงหาคม ของทุกปี : ในบริเวณแม่น้ำ ลำคลอง ลำธาร ห้วย หนอง บึง อ่างเก็บน้ำ เขื่อน พรุ และลำน้ำทุกสาขา รวมทั้งป่าไม้และพื้นดินที่มีน้ำท่วมตามธรรมชาติเชื่อมต่อบริเวณดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือที่ดินของเอกชน ในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี สิงห์บุรี ลพบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี สุพรรณบุรี สระบุรี นครปฐม นนทบุรี กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด เว้นแต่ในพื้นที่อ่างเก็บน้ำเขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้อยู่ภายใต้บังคับระยะเวลาตาม ระยะที่ 1 • ระยะที่ 3 : วันที่ 1 กันยายน - 30 พฤศจิกายน ของทุกปี : ในบริเวณแม่น้ำ ลำคลอง ลำธาร ห้วย หนอง บึง อ่างเก็บน้ำ เขื่อน พรุ และลำน้ำทุกสาขา รวมทั้งป่าไม้และพื้นดินที่มีน้ำท่วมตามธรรมชาติเชื่อมต่อบริเวณดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือที่ดินของเอกชน ในพื้นที่จังหวัดพัทลุง สงขลา ปัตตานี นราธิวาส และยะลา ในส่วนของเครื่องมือ วิธีการทำการประมงและเงื่อนไขในการทำประมงที่อนุญาตให้สามารถทำการประมงในฤดูสัตว์น้ำจืดมีไข่ได้ มีดังนี้ 1. เบ็ดทุกชนิด ยกเว้น เบ็ดราว เบ็ดพวงที่ทำการประมงโดยวิธีการกระชาก หรือการใช้เครื่องมืออื่นใดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน 2. ตะแกรง สวิง ช้อน ยอ หรือชนาง ซึ่งมีขนาดปากกว้างไม่เกิน 2 เมตร และไม่ทำการประมงด้วยวิธีประดา (ไม่เรียงหน้าไล่ต้อนสัตว์น้ำ) ตั้งแต่ 3 เครื่องมือขึ้นไป 3. สุ่ม ฉมวก และส้อม 4. ไซ ตุ้ม อีจู้ ลัน 5. แหที่มีความลึกไม่เกิน 6 ศอก (3 เมตร) ทั้งนี้ กรณีที่คณะกรรมการประมงประจำจังหวัดประกาศกำหนดห้ามเครื่องมือชนิดหนึ่งชนิดใด ตามข้อ 1 – 5 ที่เข้มงวดกว่า ให้ถือปฏิบัติตามประกาศของคณะกรรมการประมงจังหวัดนั้น 6. การทำการประมงเพื่อการศึกษา วิจัย ทดลองทางวิชาการ หรือในพื้นที่โครงการที่ดำเนินการของทางราชการ ต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมประมงหรือผู้ที่อธิบดีกรมประมงมอบหมาย หรือเพื่อเป็นการช่วยชีวิตของสัตว์น้ำโดยเจ้าหน้าที่สังกัดกรมประมงหรือภายใต้การควบคุมของเจ้าหน้าที่สังกัดกรมประมง 7. คณะกรรมการประมงประจำจังหวัดออกประกาศกำหนดพื้นที่ เครื่องมือ วิธีการทำการประมงและเงื่อนไขในการทำการประมงไว้เป็นอย่างอื่น หากผู้ใดฝ่าฝืนตามประกาศฯ มาตรา 70 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มีโทษปรับตั้งแต่ห้าพันถึงห้าหมื่นบาท หรือปรับจำนวนห้าเท่าของมูลค่าสัตว์น้ำที่ได้จากการทำประมง กรมประมง จึงประชาสัมพันธ์มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำจืดในฤดูปลาน้ำจืดมีไข่ (ฤดูน้ำแดง) ในปี 2568 นี้ เพื่อสร้างความรู้ให้แก่พี่น้องชาวประมงและประชาชนทั่วไปได้รับทราบ และเข้าใจถึงความสำคัญของทรัพยากรสัตว์น้ำ ตลอดจนช่วยสร้างจิตสำนึกในการหวงแหนอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำที่มีอยู่ในท้องถิ่นของตน ทั้งนี้ เนื่องจากการกำหนดฤดูปลาวางไข่ในช่วงฤดูน้ำแดงนั้น เป็นหนึ่งในมาตรการที่ใช้ควบคุมการทำการประมงเพื่อลดการทำลายทรัพยากรสัตว์น้ำตามกฎหมายเท่านั้น การอนุรักษ์ทรัพยากรที่แท้จริงต้องเริ่มที่ประชาชนทุกคน ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ และการตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรที่มีอยู่รู้จักใช้ ร่วมกันดูแลและรักษาไว้ให้มีอยู่อย่างยั่งยืนเพื่อลูกหลานของตนต่อไป...อธิบดีกรมประมง กล่าว

 222 อ่าน : 2 เดือน

นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำจืดในฤดูปลาน้ำจืดมีไข่ ด้วยการกำหนดให้ใช้เครื่องมือ วิธีการทำประมงที่.. 

เปิดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตร การอนุบาลปลาชะโอนให้มีประสิทธิภาพสูงโดยการควบคุมอุณหภูมิ วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม 2568 ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดลพบุรี จังหวัดลพบุรี นางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตร การอนุบาลปลาชะโอนให้มีประสิทธิภาพสูงโดยการควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 14–16 พฤษภาคม 2568 ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดลพบุรี จังหวัดลพบุรี เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเพาะและอนุบาลปลาชะโอนจากหน่วยงานที่ประสบความสำเร็จในเพาะพันธุ์และการอนุบาลให้แก่บุคลากรของหน่วยงาน ภายใต้โครงการเงินทุนหมุนเวียนฯ ของกรมประมง จากกองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด กองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด และกองวิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำ จำนวน 21 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 40 ราย เพื่อได้นำความรู้ไปใช้ผลิตลูกพันธุ์ปลาชะโอน รวมถึงพันธุ์สัตว์น้ำชนิดอื่น ๆ ให้มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร นอกจากนี้ รองอธิบดีกรมประมงยังได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดลพบุรี ศูนย์วิจัยและพัฒนา การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดสิงห์บุรี และ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดอ่างทอง โดยได้มอบนโยบายในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของกรมประมง และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมได้รับฟังปัญหาอุปสรรค และให้ข้อเสนอแนะในการดำเนินงาน เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานต่อไป #กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ #กรมประมง

 18 อ่าน : 2 เดือน

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม 2568 ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดลพบุรี จังหวัดลพบุรี

นางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง เป็นประธานเปิ.. 

รองอธิบดีกรมประมงนำทีมผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการด้านประมง ครั้งที่ 135 ภายใต้กรอบความร่วมมือขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) นายประเทศ ซอรักษ์ รองอธิบดีกรมประมง ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย พร้อมด้วย นางสาวสัมพันธ์ ปานจรัตน์ ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผนพัฒนาการประมง และคณะ ร่วมการประชุมคณะกรรมการด้านประมง ครั้งที่ 135 (The 135th Session of the Fisheries Committee: 135th COFI) ภายใต้กรอบความร่วมมือขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development: OECD) เมื่อวันที่ 13 – 14 พฤษภาคม 2568 ณ สำนักงานใหญ่ OECD สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยการประชุมครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบายด้านการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน โดยเปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิกองค์กรระหว่างประเทศ และผู้สังเกตการณ์ เข้าร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็น และแนวทางการดำเนินงานร่วมกัน และยังมีการหารือถึงการดำเนินงานในอนาคต อาทิ การมีส่วนร่วมของ COFI ในการประชุม UN Ocean Conference ครั้งที่ 3 (UNOC3) และการขับเคลื่อนตามข้อเสนอแนะของสภา OECD (OECD Council) ในการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) รวมถึงร่วมแสวงหาแนวทางการดำเนินงานเกี่ยวกับความโปร่งใสของผู้รับผลประโยชน์ในภาคประมง (Beneficial Owner) รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยในส่วนของฝ่ายไทยว่า ประเทศไทยได้รายงานข้อมูลการดำเนินงานภายในประเทศที่สนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างยั่งยืนในระยะยาว ตลอดจนแสดงจุดยืนและความมุ่งมั่นในการให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง อันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเข้าสู่การเป็นประเทศสมาชิกของ OECD และเชื่อมั่นว่าแนวทางของคณะกรรมการประมงของ OECD จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการประมงและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศไทย ที่สำคัญ รองอธิบดีกรมประมงพร้อมผู้แทนจากประเทศไทย ยังได้ประชุมหารือทวิภาคีกับ Mr. Guillaume Gruère รักษาการรองผู้อำนวยการสำนักการค้าและเกษตรกรรมของ OECD เกี่ยวกับกระบวนการในการเข้าเป็นสมาชิกคณะกรรมการด้านการประมง รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวข้อง โดย Mr. Guillaume Gruère ได้ตอบรับข้อเสนอจากฝ่ายไทยเพื่อนำไปอธิบายและเสริมสร้างความเข้าใจ ให้แก่เจ้าหน้าที่ของประเทศสมาชิกเดิมที่มีบทบาทในการพิจารณารับประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิก ตลอดจนได้ให้ข้อเสนอแนะเพื่อสนับสนุนการเตรียมความพร้อมของไทยสำหรับการเข้าร่วมเป็นสมาชิกในลำดับถัดไป ทั้งนี้ ประเทศไทยเข้าเป็น full participant ของ OECD Development Centre เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2548 โดยกรมประมงสามารถเข้าร่วมกำหนดแนวทางกิจกรรมเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของประเทศไทยเป็นประโยชน์โดยตรงต่อการเพิ่มพูนประสบการณ์และการเรียนรู้ในการปรับปรุงแนวทางการบริหารจัดการประมงของประเทศ เนื่องจาก OECD มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นของประเทศสมาชิกซึ่งกรมประมงยังให้ความร่วมมือในการประสานข้อมูลความคิดเห็นด้านการประมงระดับประเทศทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการ ตลอดจนส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุมคณะทำงานทางวิชาการที่เกี่ยวข้องสม่ำเสมอ  

 10 อ่าน : 2 เดือน

นายประเทศ ซอรักษ์ รองอธิบดีกรมประมง ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย พร้อมด้วย นางสาวสัมพันธ์ ปานจรัตน์ ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผนพัฒนาการประมง และคณะ ร่ว.. 

สมุทรสงครามลุยเต็มสูบ! แก้ปลาหมอคางดำระบาด เร่งปฏิบัติการเชิงรุกในทุกมิติ ตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 เวลา 09.00 น. ณ โดมอเนกประสงค์วัดเจริญสุนทราราม (วัดบางบ่อ) หมู่ที่ 5 ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม นายวิรัตน สนิทมัจโร ประมงจังหวัดสมุทรสงคราม เข้าร่วมกิจกรรม โครงการเสริมสร้างความจงรักภักดีต่อสถาบัน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (ครั้งที่ 6) ซึ่งจัดโดยจังหวัดสมุทรสงคราม โดยมีนางนิศากร วิศิษฏ์สรอรรถ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นประธานเปิดโครงการ ในการนี้ นายวิรัตน สนิทมัจโร ได้ร่วมพบปะพูดคุยกับประชาชน ชาวประมง และเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่ ถึงปัญหาด้านการประมงที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ โดยเฉพาะปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ซึ่งเป็นสัตว์น้ำต่างถิ่นที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศท้องถิ่น พร้อมกันนี้ได้มีการประชาสัมพันธ์เชิงรุกถึงการดำเนินกิจกรรมตาม "โครงการควบคุมและกำจัดประชากรปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่อง" โดยกรมประมงได้จัดสรรโควตาการรับซื้อปลาหมอคางดำให้แก่จังหวัดสมุทรสงคราม จำนวน 750 ตัน คิดเป็นวงเงิน 15 ล้านบาท (ในอัตรา 15 บาท/กิโลกรัม สำหรับเกษตรกร และ 5 บาท/กิโลกรัม สำหรับแพผู้รวบรวม) เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกร ชาวประมง และประชาชนทั่วไป ร่วมกันจับปลาหมอคางดำจากแหล่งน้ำธรรมชาติและบ่อเลี้ยงมาจำหน่าย ช่วยลดจำนวนปลาหมอคางดำในระบบนิเวศ นอกจากนี้ ยังได้ประชาสัมพันธ์กิจกรรมสนับสนุนปัจจัยกำจัดปลาหมอคางดำในบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยขอให้เกษตรกรที่เคยเข้าร่วมโครงการหรือมีประสบการณ์ในการกำจัดปลาหมอคางดำ แจ้งความประสงค์ขอรับการสนับสนุนภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างครอบคลุมและต่อเนื่อง จังหวัดสมุทรสงครามมุ่งมั่นเดินหน้าเชิงรุกในทุกมิติ ตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และฟื้นฟูระบบนิเวศในพื้นที่อย่างยั่งยืน #กรมประมง #กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์  

 11 อ่าน : 2 เดือน

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 เวลา 09.00 น. ณ โดมอเนกประสงค์วัดเจริญสุนทราราม (วัดบางบ่อ) หมู่ที่ 5 ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงค.. 

สมุทรสาครเดินหน้าแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ ผนึกกำลังลงนามความร่วมมือแพรวบรวม รับซื้อปลาหมอคางดำ 750,000 กิโล กิโลละ 15 บาท เริ่มทันที เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมศูนย์บริหารจัดการด่านตรวจประมงเขต 5 สมุทรสาคร ตำบลมหาชัย อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร .นายเผดิม รอดอินทร์ ประมงจังหวัดสมุทรสาคร เป็นประธานการประชุมซักซ้อมแนวทางการดำเนินการโครงการควบคุมและกำจัดประชากรปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่อง ในจังหวัดสมุทรสาคร โดยมีนายนิรันดร์ พรหมครวญ หัวหน้ากลุ่มบริหารจัดการด้านการประมง พร้อมด้วยบุคลากรในสังกัดสำนักงานประมงอำเภอ สำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสาคร และแพรวบรวมทั้ง 10 แพ เข้าร่วมการประชุมอย่างพร้อมเพรียงกันเพื่อรับทราบขั้นตอนการดำเนินการโครงการควบคุมและกำจัดประชากรปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่อง ในจังหวัดสมุทรสาคร และในวันนี้สำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสาครโดยนายเผดิม รอดอินทร์ ประมงจังหวัดสมุทรสาครได้ลงนามในหนังสือสั่งซื้อปลาหมอคางดำร่วมกับแพรวบรวม ตามรายชื่อที่สำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสาครได้ประกาศรายชื่อ รวมจำนวน 10 แพ น้ำหนักปลาที่สั่งซื้อทั้งหมด 750,000 กิโลกรัม รวมเป็นเงิน 15 ล้านบาท (เกษตรกรขายได้ 15 บาท/กิโลกรัม แพผู้รวบรวม ได้ 5 บาท/กิโลกรัม) ในการนี้ นายเผดิม รอดอินทร์ ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่าจังหวัดสมุทรสาคร โดยนายนริศ นิรามัยวงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร มอบหมายให้สำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสาครเร่งดำเนินการเปิดจุดรับซื้อปลาหมอคางดำในพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนในจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อเร่งกำจัดปลาหมอคางดำในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมถึงกรมประมง อนึ่ง ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2567 เห็นชอบแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พ.ศ. 2567 – 2570 ของกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ผ่านมากรมประมงร่วมกับการยางแห่งประเทศไทยและกรมพัฒนาที่ดิน มีการรับซื้อปลาหมอคางดำจากทั้งบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกรและแหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อนำไปผลิตน้ำหมักชีวภาพ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการกำจัดปลาหมอคางดำ กรมประมงจึงดำเนินโครงการควบคุมและกำจัดประชากรปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่องเพื่อรับซื้อปลาหมอคางดำ ในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด โดยจะรับซื้อปลาหมอคางดำทั้งที่จับได้จากบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกรและแหล่งน้ำธรรมชาติ ในราคากิโลกรัมละ 20 บาท (รวมค่าขนส่งและค่าใช้จ่ายทั้งปวง) จังหวัดสมุทรสาคร ได้รับอนุมัติการดำเนินกิจกรรมการรับซื้อปลาหมอคางดำที่ถูกกำจัดออกจากแหล่งน้ำทุกแห่งที่พบการแพร่ระบาด ตามโครงการควบคุมและกำจัดประชากรปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่อง โดยจัดสรรโควตาการรับซื้อปลาหมอคางดำจากกรมประมง จำนวน 750,000 กิโลกรัม รวมเป็นเงิน 15 ล้านบาท (เกษตรกรขายได้ 15 บาท/กิโลกรัม แพผู้รวบรวม ได้ 5 บาท/กิโลกรัม) โดยมีระยะเวลาในการดำเนินการภายใน 30 กันยายน 2568 นี้ โอกาสนี้ นายเผดิม รอดอินทร์ ประมงจังหวัดสมุทรสาคร ขอประชาสัมพันธ์เชิญชวนแพผู้รวบรวม หน่วยงานภาครัฐ เอกชน ประชาชนทุกคนรวมแรงร่วมใจช่วยกันเร่งกำจัดปลาหมอคางดำ โดยจับมาขายให้กับแพผู้รวบรวมตามทีสมัครเข้าร่วมโครงการกับสำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสาครทั้ง 10 แพ ในราคา 15 บาท ได้แล้วตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป จนกว่าจะครบน้ำหนัก 750,000 กิโลกรัม หรือจนถึงวันที่ 11 กันยายน 2568 นอกจากนี้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงที่เข้าร่วมโครงการสามารถสมัครขอรับการสนับสนุนปัจจัยการผลิต เช่น กากชา เครื่องมือประมง และรับพันธ์ุปลากะพง ขนาด 4 นิ้วขึ้นไป ณ สำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสาครได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ในวันและเวลาราชการ #กรมประมง #กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์    

 9 อ่าน : 2 เดือน

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมศูนย์บริหารจัดการด่านตรวจประมงเขต 5 สมุทรสาคร ตำบลมหาชัย อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร.. 

เข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเกษตร ครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันพุธที่ 14 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องประชุม 134 -135 ชั้น 3 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง มอบหมายให้นางพิชญา ชัยนาค ผู้อำนวยการกองวิจัยเเละพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ เข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเกษตร ครั้งที่ 3/2568 โดยมีนายรัตนะ สวามีชัย คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยผู้บริหารหน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม การประชุมในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อพิจารณาสรุปข้อเสนอโครงการส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเกษตร (Flagship Projects) และจัดทำรายละเอียดประกอบการขอรับจัดสรรงบประมาณ สำหรับการดำเนินงานตามโครงการสร้างความเชื่อมั่นมาตรฐานสินค้าเกษตร ซึ่งมุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานของสินค้าเกษตรไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน #กรมประมง #กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์

 8 อ่าน : 2 เดือน

เมื่อวันพุธที่ 14 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องประชุม 134 -135 ชั้น 3 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

นางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง มอบหมายให้นางพ.. 

เข้าร่วมงาน Executive Breakfast Forum 2025 วันพุธที่ 14 พฤษภาคม 2568 เวลา 08.30 น. ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพมหานคร นางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง เข้าร่วมงาน Executive Breakfast Forum 2025 ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมผู้ใช้ดิจิทัลไทย (DUGA) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยเรียนเชิญเฉพาะกลุ่มผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานภาครัฐในส่วนกลาง Central Government และผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐ CIO กระทรวง และ CIO ระดับกรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางการใช้ AI กับบทบาทใหม่ในการบริหารภาครัฐ การดำเนินงานของภาครัฐเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจในงานบริหาร ซึ่งแสดงถึงการเคลื่อนตัวเข้าสู่การบริหารที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลอย่างแท้จริง และมีศักยภาพสูงในการยกระดับบริการสาธารณะให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น #กรมประมง  

 13 อ่าน : 2 เดือน

วันพุธที่ 14 พฤษภาคม 2568 เวลา 08.30 น. ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพมหานคร

นางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง เข้าร่วมงาน E.. 

เข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธีโครงการจัดงาน “Kick Off การมอบโฉนดต้นไม้และโฉนดต้นยางพารา” วันพุธที่ 14 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 น. ณ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเสริมนอกภาคการเกษตร (ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร) ตำบลช้างใหญ่ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง มอบหมายให้นายมานพ หนูสอน รองอธิบดีกรมประมง เข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธีโครงการจัดงาน “Kick Off การมอบโฉนดต้นไม้และโฉนดต้นยางพารา” โดยมี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน และมีนายอัคราพรหมเผ่า นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงผู้บริหารในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ฯ ทั้งนี้ งานดังกล่าวสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (ส.ป.ก) ได้ดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลด้านการยกระดับมูลค่าที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน โดยได้มีการปรับเปลี่ยนเอกสารสิทธิ ส.ป.ก. 4-01 เป็นโฉนดเพื่อการเกษตรในปี พ.ศ. 2567 และเพื่อเป็นการต่อยอดในการเข้าถึงแหล่งทุน ด้านการส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจ เพิ่มพื้นที่สีเขียว รวมถึงเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ให้เกษตรกรเพิ่มขึ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้มอบหมายให้ ส.ป.ก. ดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายโฉนดต้นไม้ ในการส่งเสริมเกษตรกรให้ปลูกไม้มีค่าและไม้ยืนต้นเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เป็นสินทรัพย์หนึ่ง ที่สามารถใช้เป็นหลักประกันหรือเข้าถึงแหล่งเงินทุนและการตลาด สร้างมูลค่าเพิ่มให้ที่ดิน สามารถยกระดับการแข่งขันของภาคการเกษตรให้เกิดประโยชน์สูงสุดให้แก่เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน รวมถึงผลักดันให้เกิดกระบวนการหรือโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการประเมินมูลค่าไม้มีค่าและไม้ยืนต้น เพื่อเป็นทรัพย์สินในการประกันเงินกู้หรือการพิจารณาขอสินเชื่อของเกษตรกร โดยมีนางชลธิชา สันติภาตะนันท์ ประมงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายอาคม ดำแดง ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงน้ำจืดพระนครศรีอยุธยา และเจ้าหน้าที่สังกัดกรมประมง เข้าร่วม #กรมประมง #กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์  

 10 อ่าน : 2 เดือน

วันพุธที่ 14 พฤษภาคม 2568 เวลา 13.00 น. ณ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเสริมนอกภาคการเกษตร (ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร) ตำบลช้างใหญ่ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนค..